มีลูกน้องยอมรับผิดชอบนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่ผู้กำกับไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ จึงพยักหน้า “ ดีๆๆ ฉันจะให้ฝ่ายการเงินเพิ่มโบนัสให้เธอ!”
“…” เจียงเหมยอิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นมา “เพิ่มเท่าไหร่คะ”
“…”
เจียงเหมยอิ่งพูดอีกว่า “เอาอย่างนี้ ผู้กำกับ บ้านฉันกับร้านบะหมี่โหย่วเจียนอยู่ห่างกันคนละมุมเมือง ให้เป็นเบี้ยเลี้ยงทำงานนอกสถานที่ได้ไหมคะ”
“นี่มันเป็นการทำงานนอกสถานที่ที่ไหนกันเล่า!” ผู้กำกับหลิวตะคอกพลางตบโต๊ะ
ท้ายที่สุดเจียงเหมยอิ่งก็ออกไปอย่างพึงพอใจ ผู้กำกับหลิวตะโกนเรียกเธอให้หยุด แล้วชี้ไปที่บะหมี่บนโต๊ะ “เมื่อกี้เธอยังกินข้าวเที่ยงไม่เสร็จสินะ เห็นวันๆ เธอเอาแต่กินอาหารลดน้ำหนักอะไรนั่น ผอมขนาดนี้ไม่ต้องลดน้ำหนักแล้ว นี่ เมนูซิกเนเจอร์ของร้านบะหมี่โหย่วเจียน บะหมี่เนื้อติดเหรียญทอง หยิบไปกินสักชามสิ”
เมื่อกี้เจียงเหมยอิ่งพยายามห้ามตัวเองไม่ให้มองไปที่บะหมี่เนื้อมาโดยตลอด ไม่คิดว่าจะได้รับความห่วงใยจากผู้กำกับ ในใจพลันรู้สึกสับสนปนเป
เธออยากปฏิเสธ แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ลังเลอยู่นาน สุดท้ายแล้วก็หยิบบะหมี่กลับไปที่ห้องสตูดิโอ เชิดหน้าตลอดเวลา พยายามไม่ให้ตัวเองมองอาหารในมือ
การกระทำนี้ทำให้เพื่อนร่วมงานที่เดินสวนกันระหว่างทางต่างก็สงสัย ถามเจียงเหมยอิ่งว่านอนคอตกหมอนหรือเปล่า
พอกลับถึงห้องสตูดิโอ ฟางเข่อเข่อก็เข้ามาต้อนรับและถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป ผู้กำกับตำหนิเธอเหรอ เด็กนั่นเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ทำไมต้องเรียกเธอเข้าไป”
เจียงเหมยอิ่งโยนบะหมี่ทิ้งไปด้านข้าง จ้องอีกฝ่ายอย่างโมโห “เธอยังจะมาพูดอีก! เธอนี่ไร้มนุษยธรรมจริงๆ ผู้กำกับหลิวก็จะเรียกเธอ แต่เธอดันหนีไปซะก่อน เธอรู้หรือเปล่าว่าฉันยืนฟังคำด่าอยู่ตรงนั้นคนเดียว อับอายแค่ไหน!”
“เอ่อ…โดนด่าจริงๆ ด้วยสินะ เพราะอะไรเหรอ” ฟางเข่อเข่อสงสัย
เจียงเหมยอิ่งนำคำพูดของเจิ้งหลินเทียนมาพูดอีกรอบ ฟางเข่อเข่อปากอ้าตาค้าง “โห ก็แค่รายการวาไรตี้ไม่ใช่หรือไง ถึงกับมีคนมาระบายความโกรธเพื่อผดุงธรรมเยอะแยะขนาดนี้เชียว ฉันยังนึกว่าเห็นหานต้งหน้าตาดีก็ให้อภัยได้ซะอีก”
เจียงเหมยอิ่งกลอกตา “เธอคิดว่าคนที่มาระบายอารมณ์กับเขาเป็นผู้ชายหมดเลยสินะ”
ฟางเข่อเข่อพิงโต๊ะทำงานของเจียงเหมยอิ่ง ก้มหน้าถามด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก “ทำไมล่ะ ต้องไปขอโทษจริงๆ เหรอ”
เจียงเหมยอิ่งเหล่ตามองเธอ “แล้วจะให้ทำไงล่ะ แต่หัวหน้าบอกว่าจะเพิ่มโบนัสเดือนนี้ให้ฉันนะ”
“โธ่เว้ย!” ฟางเข่อเข่ออดบีบข้อมือด้วยความเสียดายไม่ได้ “รู้งี้ฉันไปให้ด่าด้วยก็ดี!”
“เอ๊ะ แล้วนี่เธอเอามาจากไหน สั่งดีลิเวอรี่? ไม่เคยเห็นเธอสั่งดีลิเวอรี่เลยนี่” ฟางเข่อเข่อสังเกตเห็นบะหมี่เนื้อที่ถูกเจียงเหมยอิ่งเอาวางไว้ไกลๆ จึงถาม
“เจิ้งหลินเทียนเอามาส่งแล้วโดนยกเลิกออเดอร์ก็เลยยกให้ฉันกับผู้กำกับหลิว ให้เธอกินก็แล้วกัน” เจียงเหมยอิ่งกินของพวกนี้ไม่ได้
“อย่างมากฉันก็กินแค่เนื้อสักชิ้นแล้วซดน้ำซุปสักอึก เมื่อกี้เพิ่งจะกินอิ่มมา”
ฟางเข่อเข่อลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เจียงเหมยอิ่ง ยกบะหมี่มาวางไว้ตรงหน้าและเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “นี่เป็นบะหมี่เนื้อซิกเนเจอร์ของร้านบะหมี่โหย่วเจียนเชียวนะ ฉันขอกินดูหน่อย ถ้าอร่อยก็จะกินเยอะๆ แต่ถ้าไม่อร่อยเธอก็มากินซะ”
เจียงเหมยอิ่งเห็นฟางเข่อเข่อจะแกะห่ออาหารต่อหน้าตนเอง ก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างทันที
“เดี๋ยวสิ เธอจะไปไหน รีบมาดมสิ หอมฉุยเลย กลิ่นของอร่อยยั่วน้ำลายทีเดียว!” ฟางเข่อเข่อกวักมือเรียกเธอ
เสียงกรอบแกรบดังมาจากตรงนั้น คาดว่าฟางเข่อเข่อคงจะเปิดกล่องอาหารดีลิเวอรี่แล้ว ฟางเข่อเข่อยังพูดไม่ทันจบ เจียงเหมยอิ่งก็ได้กลิ่นที่ปกติไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน กลิ่นของเนื้อวัวที่คละเคล้ากับกลิ่นของแป้งสาลี อีกทั้งยังมีความสดใหม่ที่อธิบายไม่ถูกอีกด้วย เจียงเหมยอิ่งไม่เคยได้กลิ่นบะหมี่เนื้อที่หอมขนาดนี้มาก่อน
แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ไม่ได้รู้สึกพะอืดพะอมหลังได้กลิ่นของกินเลย
เจียงเหมยอิ่งหันไปมองบะหมี่ชามนั้นด้วยความตกตะลึง ห่างออกไปสิบกว่าก้าว เธอมองเห็นบะหมี่ไม่ชัด ดังนั้นจึงเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างระมัดระวัง บะหมี่ชามนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า
ฟางเข่อเข่อสูดเส้นบะหมี่ เห็นใบหน้าของเจียงเหมยอิ่งอยู่เหนือใกล้ๆ ตนเอง จึงเงยหน้ามองเธอและกวักมือเรียก “กลับมาสิ มากินเร็ว”
เจียงเหมยอิ่งยกมือกุมหน้าอกของตนเอง อีกมือหนึ่งก็ค้ำร่างเอาไว้ ในใจรู้สึกตื่นตะลึง
เธอซดน้ำซุป ทันใดนั้นน้ำตาก็เอ่อคลอ
แม้จะไม่เหมือนกันทั้งหมดเสียทีเดียว แถมยังอร่อยยิ่งกว่ารสชาติที่อยู่ในความทรงจำ ทว่าความรู้สึกที่อบอุ่นนี้เป็นความรู้สึกเดียวกับที่บะหมี่เนื้อซึ่งลืมไม่ลงชามนั้นได้มอบให้กับเธอ