ร่างกายของนางอ่อนแอ ซูบผอมมากจริงๆ หากมองผ่านๆ อาจดูไม่น่าสนใจ แต่เครื่องหน้าทั้งห้าของนางนั้นงดงามรับกับใบหน้าเป็นอย่างดี อีกทั้งการพูดการจายังแสดงถึงความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง อดไม่ได้ที่จะหยุดสายตาไปมองที่นางจริงๆ
เฮยทั่วเทียนคงจะ…มองเห็นถึงความจริงในข้อนี้จึงได้เรียกให้นางไปเข้าเฝ้ากระมัง
ไป่ซั่งเสียนขมวดคิ้วยกจอกขึ้นดื่มซ้ำๆ พลางมองไปทางประตูวังเป็นระยะ หวังเพียงว่าให้นางรีบกลับมา แต่จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลงก็ยังไม่เห็นแม้แต่นางหรือเฮยทั่วเทียนมาปรากฏตัว
“ฝ่าบาท องค์หญิงเหลียนเฉิงจากแคว้นหนานฉู่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีซย่าหล่างรายงานอย่างนอบน้อมอยู่หน้าประตูวังจื่อจี๋
“อืม” เฮยทั่วเทียนส่งเสียงตอบรับขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว สายตาของเขากำลังจดจ่ออยู่กับฎีกาตรงหน้า
เนื่องจากสถานการณ์เป็นใจ วันนั้นที่ได้ทราบข่าวว่าเสด็จพ่อสวรรคต เขาต้องขึ้นครองบัลลังก์ต่อทันที การจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันนี้เป็นการประกาศศักดา เพียงเพื่อหาสิ่งที่ทำให้เกิดความสงบสุขในหมู่ผู้คนและเหล่าขุนนาง แม้เรื่องที่เขาขึ้นครองบัลลังก์จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเกิดความยินดียินร้ายใดๆ เนื่องจากเขายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าจะต้องทำ เช่นว่าเขาจะจัดการอย่างไรกับฎีกาที่กองสูงเหมือนภูเขานี้ และ…
ยังมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่สำคัญ…สิ่งที่ติดค้างกับคนผู้หนึ่ง
เฮยทั่วเทียนได้ยินเสียงประตูเปิดออก เสียงฝีเท้าของขันทีและเสียงก้าวเท้าที่แทบจะไม่ได้ยินอีกหนึ่งคู่มาพร้อมกับเสียงของชายแขนเสื้อที่ดังขึ้นขณะเดินเข้าประตูมา
เขามองไปทางฎีกาที่อยู่ทางซ้ายของตน ย้อนคิดไปถึงตอนที่อยู่สำนักบัณฑิตหลวงและยังเป็นไท่จื่ออยู่ เขาหวังว่าในอนาคตตนเองจะสามารถจัดการฎีกาที่มาจากผู้มีความรู้ความสามารถจากแต่ละแคว้นได้ เฮยทั่วเทียนจ้องมองอย่างนั้นเป็นเวลานาน ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
ซย่าหล่างมองฮ่องเต้ที่ไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นมา แล้วจึงมองไปทางองค์หญิงเหลียนเฉิงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาจ้องมองไปข้างหน้า ไม่ส่งเสียงอยู่อย่างนั้น เป็นเช่นนี้ไม่มีสิ้นสุด
ซย่าหล่างเมียงมองอีกสักพักก็เห็นฝ่าบาทกำลังขมวดคิ้วเข้ม เขาจึงได้รีบเอ่ยว่า “องค์หญิงเหลียนเฉิงเสด็จมาถึงแล้ว พวกเจ้านางในถอยออกไปก่อน”
เฮยทั่วเทียนวางฎีกาที่ตรวจเสร็จแล้วลง จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปทางฉู่เหลียนเฉิง “ในเมื่อเจ้ามาถึงแล้ว เหตุใดจึงไม่ส่งเสียงเล่า”
“เกรงว่าหม่อมฉันจะไปรบกวนความคิดของฝ่าบาท” ฉู่เหลียนเฉิงค่อยๆ ก้มลงคารวะ ตัวของนางสวมจี้หยก ปิ่นไข่มุก แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เลยสักนิด “ฉู่เหลียนเฉิงขอถวายความยินดีต่อการครองราชย์ของฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีเพคะ”
เฮยทั่วเทียนใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง และกำลังประเมินสีผมที่ดำขลับ ผิวที่ขาวมาก และดวงตาที่ไม่เหมือนใครคู่นั้นของฉู่เหลียนเฉิงอย่างไม่วางตา
“เจ้าอยากได้รางวัลเป็นอะไร บัลลังก์ของหนานฉู่หรือ” เฮยทั่วเทียนจ้องเข้าไปในตาของนาง
“หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจแบกรับความทุกข์ระทมของราชบัลลังก์ได้”
ราชบัลลังก์เป็นสิ่งระทมทุกข์อย่างนั้นหรือ
เฮยทั่วเทียนยิ้มหยัน ซึ่งท่าทีไม่แยแสเช่นนั้นยิ่งเพิ่มความเย็นชาแก่เขาเข้าไปอีก
“เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร”
“ส่งตัวประกันจากแต่ละแคว้นกลับเพคะ”
สีหน้าของเฮยทั่วเทียนยังคงสงบเยือกเย็น แต่สายตากลับเคร่งขรึมขึ้น เขาจับจ้องไปที่พวงแก้มทั้งสองของนางซึ่งส่องประกายรับกับแสงเทียน
“ส่งตัวประกันกลับแล้วเราได้ประโยชน์อันใด”
“เป่ยโม่กักตัวประกันจากแต่ละแคว้นไว้ เพียงเพื่อไม่ให้แต่ละแคว้นได้เดินหมาก หากฝ่าบาทมีใจที่จะรบกับแต่ละแคว้นอยู่แล้ว ชีวิตของตัวประกันเหล่านั้นจะมีประโยชน์อันใด” เมื่อถูกสายตาของเขาจับจ้องมา นางจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำลมหายใจเข้าออกของตนเองให้สงบมั่นคง
“แม้ว่าจะไม่ให้แต่ละแคว้นได้เดินหมาก แล้วเหตุใดเราต้องกำจัดหมากเพราะเจ้ากัน”
“เพราะฝ่าบาททรงปรารถนาจะดำรงซึ่งมนุษยธรรม ให้ใต้หล้าได้ประจักษ์ถึงน้ำพระทัยอันกว้างใหญ่ที่พระองค์มีต่อแคว้นต่างๆ”
เฮยทั่วเทียนยกยิ้ม ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้นางเพียงตั้งใจกล่าวถึงความมีมนุษยธรรมของเขาหรือคาดเดาถูกว่าเขาเองก็มีแผนการอยู่ลึกๆ เขาอยากขยายอาณาเขตเป่ยโม่ เพราะเหตุนี้จำต้องได้รับการยอมรับจากใจจริงของแต่ละแคว้นด้วยเช่นกัน