“ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เรามาถวายพระพร ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงออกมา เจ้าอย่าพูดจาเดาสุ่มมั่วๆ…”
เมื่อเดือนที่แล้วฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะปรากฏกายออกมา แต่ในตอนนั้นที่ตำหนักเชียนชิวกลับไม่มีกลิ่นที่ทำให้นางหวาดกลัวเช่นนี้ ฉู่เหลียนเฉิงลองกดจุดเหอกู่บนมือของนาง พยายามทำหัวให้โล่งแล้วลองสูดดมกลิ่นอีกครั้ง ถ้าหากกลิ่นหอมรุนแรงที่โชยเข้าจมูกเป็นแบบที่นางคิดไว้จริงๆ…เช่นนั้นแคว้นเป่ยโม่จะต้องเกิดความวุ่นวายเป็นแน่!
“ขอบใจองค์ชายองค์หญิงทุกแคว้นเป็นอย่างมาก เราสุขสบายดี พวกเจ้ากลับไปกันเถอะ” เสียงเบาๆ ดังออกมาจากตำหนักเชียนชิว
“ส่งเสด็จองค์ชายและองค์หญิงทุกแคว้นกลับตำหนัก” เกากงกงประกาศเสียงดังฟังชัด
เมื่อทุกคนลุกขึ้นเดินกลับออกไปกันหมดแล้ว ฉู่เหลียนเฉิงจึงค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา นางในตอนนั้นใบหน้าซีดเผือด หน้าผากปรากฏเม็ดเหงื่อเป็นจุดๆ
ไป่ซั่งเสียนสังเกตเห็นท่าทีเหมือนคนป่วยของนาง จึงรีบยื่นมือไปประคองร่างผอมบางไว้
ฉู่เหลียนเฉิงไม่ได้ปฏิเสธ เพราะนางตัวสั่นจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ให้ข้าตามหมอหลวงมาดูอาการเจ้าสักหน่อยเถอะ” ไป่ซั่งเสียนถามพลางมองสำรวจใบหน้าซีดเซียวของนางอย่างเป็นห่วง
“ร่างกายข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะขอร้องท่าน” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่หน้าผาก
“ว่ามาสิ”
“คืนนี้องค์ชายใหญ่ของเป่ยโม่ เฮยทั่วเทียน จะกลับมาจากชายแดนทางเหนือ และจะเชิญตัวประกันแต่ละแคว้นเข้าร่วมงานเลี้ยง องค์ชายจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่” นางถามเสียงเบาพร้อมกับกำเสื้อคลุมผ้าไหมบริเวณมือของเขาแน่น
“เจ้านั่งลงก่อนค่อยว่ามาเถอะ” เห็นริมฝีปากไร้สีเลือดของฉู่เหลียนเฉิง ไป่ซั่งเสียนจึงรีบประคองนางเดินออกจากตำหนักเชียนชิวเพื่อหาที่นั่งพักสักครู่
“องค์หญิงทรงไม่สบายหรือเพคะ” จูเซวียนเอ๋อร์ข้ารับใช้ของฉู่เหลียนเฉิงเห็นดังนั้นก็รีบเร่งเดินเข้ามาหา
ฉู่เหลียนเฉิงส่ายหน้าปรามจูเซวียนเอ๋อร์ว่าอย่าเพิ่งเข้ามา นางหยิบเม็ดยาสีขาวออกมาจากถุงผ้าแล้วกลืนลงไป หลังจากหายใจเข้าออกช้าๆ เพียงครู่ก็เงยหน้าจ้องไป่ซั่งเสียนแล้วเอ่ยถาม
“ข้ากับองค์ชายใหญ่ไม่เคยพบหน้ากันสักครั้ง แต่ท่านได้อยู่ที่เป่ยโม่มาหนึ่งปีแล้วน่าจะรู้จักเขา ข้าจึงอยากรบกวนท่านช่วยแนะนำให้ข้าได้เข้าพบองค์ชายใหญ่ได้หรือไม่”
“เจ้า…” เฮยทั่วเทียน องค์ชายใหญ่แห่งเป่ยโม่นั้นสูงใหญ่สง่างาม ผึ่งผายโดดเด่น เป็นชายที่เหล่าสตรีราชนิกุลทั้งหลายต่างหมายปองเป็นสามี เขาคาดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ฉู่เหลียนเฉิงก็มีความคิดเช่นนั้น
“ข้าร่างกายอ่อนแอ ชีวิตนี้ไม่มีความคิดเรื่องแต่งงาน” สีหน้าของนางไม่มีเปลี่ยน ตอบคำถามของไป่ซั่งเสียนที่ปรากฏอยู่บนหน้าด้วยความสงบ จ้องมองเข้ามาที่ตาเขานิ่งๆ
“เช่นนั้นเหตุใดจึงอยากให้ข้าช่วยแนะนำเจ้าเล่า”
เฮยทั่วเทียน องค์ชายใหญ่แห่งเป่ยโม่เกิดจากฮองเฮาองค์ก่อนซึ่งมาจากสกุลเหวย สกุลเหวยนั้นมีความซื่อสัตย์ เป็นขุนนางที่มีความสามารถ ผู้นำทางทหารที่มีชื่อเสียงล้วนมาจากสกุลเหวยทั้งสิ้น เมื่อเฮยทั่วเทียนอายุครบสิบปีก็ถูกแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นไท่จื่อ แต่พอเขาอายุได้สิบสามปีเหวยฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรครุมเร้า ตอนเขาอายุสิบสี่ปีสนมคนโปรดอย่างซินซื่อ ก็ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮา นางต้องการแต่งตั้งลูกชายของตนเอง เฮยต๋าเทียนหรือองค์ชายสามขึ้นเป็นไท่จื่อแทน ดังนั้นเมื่อเฮยทั่วเทียนอายุครบสิบแปดปีแม้ไม่ถูกปลดจากตำแหน่งแต่ก็ถูกฮ่องเต้เป่ยโม่มองข้ามไม่สนใจกับตำแหน่งไท่จื่อของเขาอีกต่อไป ทั้งไม่สนใจเสียงคัดค้านจากคนส่วนใหญ่ ส่งเฮยทั่วเทียนไปเป็นเสนาธิการทัพอยู่ชายแดนทางใต้ของเป่ยโม่
ในปีนั้นเป็นปีที่ยากลำบากของเฮยทั่วเทียน เขากับท่านลุงแม่ทัพเหวยเหมินได้นำทัพเข้าสู้รบกับทั้งเจ็ดแคว้น จากนั้นมาเขาจึงกลายเป็นเทพนักรบแห่งกองทัพเป่ยโม่
“ข้าเคยได้ยินว่าองค์ชายใหญ่เคยเดินทางไปทั่วแผ่นดิน จึงอยากถามความคิดเห็นเกี่ยวกับแคว้นหนานฉู่จากเขาเท่านั้น” ฉู่เหลียนเฉิงรู้ดีแก่ใจว่าคำพูดพวกนี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ทั้งภาวนาให้ไป่ซั่งเสียนที่แม้รู้ว่านางบ่ายเบี่ยงคำตอบก็ยังรับนางเป็นสหายอยู่
ไป่ซั่งเสียนจ้องนางเพียงครู่ บนใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจแต่ยังคงพูดต่อไป “ข้าจะช่วยแนะนำให้เจ้าเอง”
“ขอบพระทัยองค์ชายซั่งเสียน” ฉู่เหลียนเฉิงก้มตัวคำนับ
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ขอเพียงคราวหลังเจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ ที่ชีวิตข้าสามารถอยู่ต่อได้นานอีกสักหน่อยนี้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณของเจ้า พวกเราตอนนี้จึงนับว่าได้ร่วมเป็นร่วมตายกันแล้ว” ไป่ซั่งเสียนพูดพลางหัวเราะ
ฉู่เหลียนเฉิงเองก็พลันหัวเราะออกมาด้วย รอยยิ้มนั้นทำให้ผิวที่ขาวซีดจนแทบสว่างของนางมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่ริมฝีปากยังขึ้นสีอ่อน กอปรกับความฉลาดหลักแหลมมีไหวพริบ ทั้งหมดนั้นล้วนทำให้ไป่ซั่งเสียนละสายตาไปจากนางไม่ได้เลย