คืนงานเลี้ยงของเฮยทั่วเทียนองค์ชายองค์โตของฮ่องเต้เป่ยโม่ถูกจัดขึ้นที่ป่าร้อยบุปผาซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตกของวังหลวง และในช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกอิงฮวากำลังผลิบานงามสะพรั่ง และยังมีโคมไฟสีแดงนับร้อยแขวนอยู่ข้างๆ ต้นอิงฮวา ช่วยขับให้สีชมพูของดอกอิงฮวายิ่งงดงามและอ่อนหวานมากขึ้น
เฮยทั่วเทียนสวมชุดคลุมสีดำปักลายเมฆคู่สลับสี บนศีรษะประดับด้วยเกี้ยวทอง มีกระบี่เหน็บอยู่บนสายรัดเอวซึ่งมีสีเดียวกับชุด กำลังกวาดสายตามองตัวประกันต่างแคว้นตรงหน้า
งานเลี้ยงทุกๆ ปีล้วนมีเสด็จพ่อเป็นประธาน ซึ่งเมื่อปีที่แล้วกลับกลายเป็นองค์ชายสามเฮยต๋าเทียนมาแทน แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าเหตุอันใดหน้าที่นี้จึงตกมาอยู่ที่เขาเสียได้ กล่าวกันว่าเพราะเขาเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน จึงให้มางานนี้เพื่อให้เขาได้สานสัมพันธไมตรีกับองค์ชายองค์หญิงจากแต่ละแคว้น
ซินฮองเฮาน่ะหรือพยายามช่วยให้ข้าได้มีสัมพันธ์อันดีกับแคว้นอื่น!
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสด็จพ่อไม่ได้ออกว่าราชการ แต่ครั้งนี้ดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนสอดแนมของเขาที่แฝงตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ได้นำข่าวเรื่องจยาผิงโหว พี่ชายของซินฮองเฮานำทัพจากชายแดนกลับสู่วังหลวงมารายงานกับเขาแล้ว
คิดๆ ดูแล้วหลายวันมานี้เขาไปที่ตำหนักเชียนชิวเพื่อขอเข้าเฝ้า แต่กลับไม่เคยได้พบหน้าเสด็จพ่อหรือได้พูดคุยกันเลยสักคำ ยังดีที่หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงได้เข้าไปถวายการตรวจให้เสด็จพ่อทุกวัน หากเกิดเหตุอะไรขึ้นจริงๆ ซินฮองเฮาคงไม่กล้ากำเริบเสิบสานถึงกับปิดบังความจริงขนาดนั้น
เพียงแต่ร่างกายของเสด็จพ่อทรุดโทรม เมื่อคิดดูก็คงเหลือเวลาไม่มากแล้ว ซินฮองเฮาจึงได้เริ่มจัดแจงให้จยาผิงโหวนำทัพมาทางตะวันตกแล้วคิดใช้แผนบีบบังคับให้เสด็จพ่อสละราชบัลลังก์ นางเริ่มเดินหมากได้ คิดว่าเขาจะทำเช่นเดียวกันไม่ได้อย่างนั้นหรือ ท่านลุงแม่ทัพเหวยเหมินมีกองทหารจากชายแดนทางใต้อยู่สามแสนนาย ทหารจากกองกำลังรักษาวังอีกสามหมื่นนายซึ่งต่างก็มีคนสนิทของเหวยฮองเฮาเป็นผู้นำ หากสกุลซินอยากลองสั่นคลอนใต้หล้า เกรงว่าจะต้องเพิ่มแรงให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย
เฮยทั่วเทียนยกจอกเหล้าขึ้นดื่มหมดภายในจอกเดียว พร้อมกับเมินเฉยต่อสายตาชื่นชมจากผู้คนตรงหน้า
“องค์ชายทั่วเทียน” ไป่ซั่งเสียนก้าวเท้าออกมาพร้อมคำนับ
“องค์ชายซั่งเสียน” เฮยทั่วเทียนวางจอกเหล้าลง “ช่วงนี้สบายดีหรือ”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ฉู่เหลียนเฉิงที่ยืนห่างจากไป่ซั่งเสียนเพียงไม่กี่ก้าวก็กำลังมองไปทางองค์ชายใหญ่ของฮ่องเต้เป่ยโม่
ใต้หล้าในยามนี้มีชายหนุ่มรูปงามหลายคนงดงามราวหญิงสาว แทบแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง เดิมทีนางคิดว่ารูปโฉมของเฮยทั่วเทียนจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นน่าจะโดดเด่นเป็นสง่าดั่งเทพชั้นฟ้า ไม่คาดคิดเลยว่าการพบเจอกันในวันนี้เขากลับต่างจากที่นางคิดไปมาก บุรุษเบื้องหน้านั้นมีดวงตาคมดุจเหยี่ยว ใบหน้าเย็นชา ดวงตาใต้คิ้วเข้มของเขาฉายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ออกมา ทั้งแฝงกลิ่นอายของกษัตริย์ที่น่าเกรงขามไว้ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ที่ได้พบเจอมิอาจละสายตาไปได้
“…ข้าขอแนะนำท่านให้รู้จักกับองค์หญิงสามฉู่เหลียนเฉิงแห่งแคว้นหนานฉู่” ขณะที่ไป่ซั่งเสียนกำลังแนะนำอยู่นั้นเขาก็หันหน้าไปทางฉู่เหลียนเฉิง
“คารวะองค์ชายเฮยทั่วเทียน” ฉู่เหลียนเฉิงเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวพร้อมประสานมือคารวะ
เฮยทั่วเทียนมองไปยังหญิงสาวรูปร่างผอมเจ้าของชื่อที่เขาสังเกตได้ถึงอาการที่มองเขาจนนิ่งงันตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว สีหน้าเขาไม่เปลี่ยน พลันเอ่ยถามนิ่งๆ “องค์หญิงเหลียนเฉิงดูท่าทางอ่อนเพลีย ให้ข้าตามหมอหลวงมาดูอาการท่านสักหน่อยดีหรือไม่”
“องค์ชายอาจแคลงใจว่าการแพทย์ของหนานฉู่นั้นชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เหตุใดตัวข้าจึงดูอ่อนแอเช่นนี้” ฉู่เหลียนเฉิงสบตาเฮยทั่วเทียนด้วยความสงบ
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น องค์หญิงอย่าทรงคิดมากเลย”
ถ้าองค์หญิงแห่งหนานฉู่จะตาย ก็มิได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลยสักนิด
ฉู่เหลียนเฉิงไม่คิดว่าเฮยทั่วเทียนจะไม่ใส่ใจในคำพูดของนาง จึงทำได้เพียงฝืนพูดต่อไปว่า “แท้จริงแล้วการแพทย์ของหนานฉู่นั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนตื่นใจยิ่งนัก เพราะเพียงแค่จับชีพจรก็จะสามารถรู้ถึงชะตาชีวิตได้”
หลังจากที่เฮยทั่วเทียนยกจอกขึ้นมาดื่ม ดวงตาคมดุจพญาอินทรีนั้นสบสายตาเข้ากับนางพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน”
“หากองค์ชายทรงอนุญาต โปรดให้ข้าตรวจชีพจรท่านดูได้หรือไม่”
“หากเป็นโชคชะตาย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลง หากเปลี่ยนแปลงได้ นั่นไม่อาจเรียกว่าโชคชะตา” หลังจากเฮยทั่วเทียนลอบมองหญิงสาวร่างกายอ่อนแอที่ทั้งใบหน้า ตา จมูก ปากยังเป็นเครื่องหน้าที่ใสสะอาดราวกับเพิ่งล้างหน้ามา เขาพลันคิดในใจว่านางนั้นช่างไม่รู้จักเจียมตนเอาเสียเลย จึงเอ่ยปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ไม่ต้องหรอก”
“โชคชะตานั้นเป็นเพียงโอกาส หากว่ามีโอกาสที่ดีรออยู่ข้างหน้าแต่คนเราไม่รู้จักคว้าไว้ ก็เหมือนกับการฝืนโชคชะตา จุดจบอันน่าเศร้าอาจได้เห็นกันในไม่ช้าไม่เร็วนี้” ฉู่เหลียนเฉิงเอ่ยแฝงความนัย