14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน เชลยรักกักใจ
เฮยทั่วเทียนมองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง เขาพบแต่เพียงความไม่ยินดียินร้ายภายในแววตาน่าเกรงขามคู่นั้น เขาเผลอเหลือบไปมองร่างของนางอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่านางผอมจนแทบจะเห็นกระดูก แต่แววตากลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนี้ เขาไม่เคยพบเจอหญิงสาวนางใดใช้สายตาแบบนั้นมองมาที่เขาเลยสักครา
“เพิ่มที่นั่งข้างๆ ข้าที่หนึ่ง” เฮยทั่วเทียนหันไปเอ่ยกับขันที พลางผายมือไปด้านข้างตนเองเล็กน้อย “เชิญ”
ฉู่เหลียนเฉิงไม่ใส่ใจต่ออากัปกิริยาเหยียดหยามของเฮยทั่วเทียน เพียงส่งยิ้มขอบคุณไปให้ไป่ซั่งเสียน แล้วจึงยกชายกระโปรงเดินไปนั่งบนที่นั่งที่เพิ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้
หลังจากไป่ซั่งเสียนมองนางเพียงครู่หนึ่งจึงล่าถอยออกมา
เฮยทั่วเทียนมองฉู่เหลียนเฉิงซึ่งกำลังหย่อนกายลงนั่ง ภายใต้แสงเทียนในยามราตรี อาภรณ์สีขาวนวลบนร่างของนางตัดกับแสงเทียนและสีชมพูของดอกอิงฮวาในยามค่ำคืน ขับให้นางช่างดูสดใสยิ่งนัก
เขาไม่รู้ว่าฉู่เหลียนเฉิงกำลังพยายามทำอะไร เพียงแต่มองจากใบหน้าธรรมดากับกลิ่นยาเย็นๆ บนกายนางแล้ว เขาก็รู้สึกอีกครั้งว่านางนั้นช่างไม่เจียมตนเสียจริงๆ
“คารวะให้ท่านหนึ่งจอก” เฮยทั่วเทียนก้มหน้าลงพร้อมยกยิ้มให้นาง ดวงตาดำขลับจับจ้องดวงตาของนางไว้นิ่ง
ฉู่เหลียนเฉิงมองใบหน้ายิ้มแย้มของเขา ในอกพลันหายใจติดขัด โรคเดิมของนางแค่แสดงอาการออกมาเท่านั้น นางค่อยๆ ควบคุมจังหวะการหายใจแล้วจึงยิ้มกลับไปตอนที่ยกจอกเหล้ามาใกล้กับปากพร้อมกับใช้ระดับเสียงที่เขาและนางได้ยินกันเพียงสองคนว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะทูลองค์ชาย โปรดให้เริ่มการแสดงเถิด”
เฮยทั่วเทียนลอบมองท่าทีที่นิ่งสงบของนางอย่างไม่ไว้ใจ หลังจากนั้นจึงให้เหล่าขันทีถอยออกไป ดนตรีจึงได้เริ่มบรรเลงขึ้นมาจากทั้งสองฝั่ง นางรำร่ายรำอ่อนช้อยงดงามดั่งดอกอิงฮวาที่ร่วงหล่นลงมา เป็นที่น่าประทับใจยิ่ง
“ว่ามาสิ” เฮยทั่วเทียนว่าพร้อมยกจอกเหล้าขึ้นมาที่ปากส่วนสายตามองการแสดงร่ายรำตรงหน้า
“ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายโปรดสงวนท่าทีไว้ อย่าได้แสดงอาการอันใดออกมา” ฉู่เหลียนเฉิงแสร้งยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่ม พลางพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว”
เฮยทั่วเทียนเงยหน้ายกจอกเหล้าดื่มจนหมด ขันทีเตรียมที่จะเข้ามาเติมเหล้าให้แต่เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้ถอยไป
“เจ้าพูดเองมิใช่หรือว่าจะตรวจชีพจรให้ข้า” เฮยทั่วเทียนวางแขนลงบนโต๊ะแคบๆ
“ขอบพระทัยองค์ชายที่เชื่อใจข้า” ฉู่เหลียนเฉิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ใช้มือหนึ่งจับชีพจร
“เจ้ารู้ได้เช่นไร” เฮยทั่วเทียนแทบไม่ขยับปากพลางถามขึ้นมา
“วันนี้ข้าไปที่ตำหนักเชียนชิว เห็นรถม้าอยู่ด้านนอก แม้จะได้กลิ่นหอมในบริเวณรอบๆ นั้นแต่มันกลับกลบกลิ่นน้ำยาแช่ศพไว้ไม่ได้เลย หากรถม้ายังอยู่ในตำหนักเชียนชิว ใครกันที่กล้าซ่อนศพไว้ข้างใน ซึ่งก็มีเพียงข้อสันนิษฐานเดียว…” ฉู่เหลียนเฉิงแสร้งหลับตา ตั้งใจตรวจชีพจร
“พวกเขากำลังปิดบังข่าวการตายของเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ” เฮยทั่วเทียนสอดมือลงไปใต้โต๊ะแล้วกำหมัดแน่น
“หรือท่านจะลองสืบดูเองก็ได้” นางช้อนสายตาขึ้นมองเขา
เฮยทั่วเทียนเม้มริมฝีปาก ตอนนี้นับว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจยาผิงโหวต้องเร่งนำกองทัพกลับเมืองหลวง เหตุใดที่ในงานเลี้ยงคืนนี้เฮยต๋าเทียนไม่ได้มาปรากฏตัวขึ้น
“ถ้าหากข่าวของเจ้ามันผิดเล่า…” ดวงตาดำขลับของเขาจ้องเขม็งมาที่นางราวกับจะฆ่ากันให้ตายเดี๋ยวนั้น
ฉู่เหลียนเฉิงกำมือแน่น พยายามไม่แสดงอาการหวั่นเกรงต่อสายตาเย็นเยียบของเขา
“แม้จะผิดพลาด ท่านก็ทำได้เพียงแค่เชื่อใจข้าแล้ว พระปรีชาสามารถขององค์ชายนั้นล้วนเป็นที่รู้กันดีในใต้หล้า ในตอนนั้นเพราะฮ่องเต้เสี่ยงถูกเหล่าขุนนางต่อต้าน จึงได้ไม่กล้าปลดท่านออกจากตำแหน่งไท่จื่อแต่กลับเลือกส่งท่านไปยังชายแดนแทนนั้น ใช่ว่าท่านจะไม่รู้เหตุผลนี้ แต่หากวันหนึ่งซินฮองเฮาสามารถซื้อใจทุกคนและส่งให้องค์ชายสามเป็นฮ่องเต้ได้ หรือหากฮ่องเต้ทรงทิ้งราชโองการไว้ว่าให้องค์ชายสามสืบทอดบัลลังก์ และมีเหล่าขุนนางที่ไม่ศรัทธาในตัวท่านสนับสนุนเขา ท่านคงทำได้แค่ตั้งกองทัพมาก่อกบฏ ซึ่งไม่ช้าหรือเร็วก็จำเป็นต้องทำอยู่ดี”
พูดจบนางก็ยิ้มแย้มและพูดถึงสภาพชีพจรของเขาแล้วจึงชักมือที่ตรวจชีพจรกลับ
เฮยทั่วเทียนมองสีหน้าและท่าทีที่นิ่งสงบของนางก็รู้สึกประทับใจ ในตอนที่เขาจงใจขู่ให้หวาดกลัวนั้นน้อยคนนักที่จะไม่รู้สึกเกรงกลัว
“เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้า”
“ช่วยท่านก็เหมือนกับได้ช่วยตัวข้าเองด้วย”
“บุญคุณไม่ลืม ขอไม่ไปส่ง”
เฮยทั่วเทียนพูดจบ ฉู่เหลียนเฉิงก็ลุกขึ้นคำนับ แล้วจึงเดินไปหาไป่ซั่งเสียนที่คอยจับตามองพวกเขาทั้งคู่ตั้งแต่ต้นจนจบ
องค์ชายใหญ่จิบเหล้ามองการแสดงแสร้งทำเหมือนไม่มีเรื่องอันใดผิดแปลก หลังจากคิดวางแผนภายในใจว่าเขาจะเกณฑ์คนและม้ามาภายในหนึ่งคืนนี้ได้อย่างไรแล้วจนเสร็จสิ้น จึงเรียกให้ขันทีเข้ามาเติมสุรา และแอบส่งต่อเรื่องนี้อย่างลับๆ แก่เสนาบดีฝ่ายซ้าย สมุหกลาโหม หัวหน้ากองกำลังรักษาวังและหัวหน้าทหารสำนักราชวัง
จากนั้นครึ่งชั่วยามวังหลวงก็ถูกโอบล้อมไปด้วยองครักษ์หลวงที่สวมชุดดำทั้งตัวกับชุดเกราะเต็มยศกว่าหมื่นนาย ป้องกันประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ ไม่ให้ใครเล็ดลอดเข้ามาได้ บริเวณที่ใกล้กับวังหลวงมากที่สุดยกให้เป็นหน้าที่ของโม่ชิงคนที่เฮยทั่วเทียนไว้ใจให้เป็นผู้ส่งสารลับและยกกองทัพกว่าสองหมื่นนายมุ่งหน้ามารวมตัวกันที่ด้านนอกคูเมืองของวังหลวง นอกจากนี้ยังมีม้าเร็วที่นำคำพูดของเฮยทั่วเทียนมุ่งไปทางชายแดนทางใต้ให้นำกองกำลังทหารมาเสริม
จึงกล่าวได้ว่าในคืนดึกสงัดทว่าผู้คนมิอาจหลับใหล…