เว่ยเหลิ่งเหยาได้ฟังคำพูดปฏิเสธอย่างสุภาพของผิงชวนอ๋องแล้วก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ความกังวลของผิงชวนอ๋อง โหวอย่างข้าย่อมเข้าใจและรู้สึกเห็นใจ แต่ขณะที่ผิงชวนอ๋องใส่ใจกับความรู้สึกของคนสกุลเนี่ย ผิงซีอ๋องกลับชักสีหน้าใส่อย่างไร้ความปรานี เมื่อเร็วๆ นี้มีข้อขัดแย้งมากมายเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินตามเขตแดนของพวกท่าน ทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะผิงซีอ๋องบุกรุกครอบงำจนเคยตัว แต่ท่านก็ไม่ได้เฉือนเนื้อนี่! ผิงชวนอ๋อง ท่านเป็นคนยุติธรรมที่ทำเพื่อราษฎรก็จริง แต่ต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึงบุตรชายตัวน้อยของท่านด้วย ข้าเห็นว่าผิงซีอ๋องเป็นคนโลภมากยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ละโมบอยากครอบครองที่ดินเท่านั้น แต่ยังเอ็นดูบุตรชายตัวน้อยในจวนท่านด้วย ต้องรู้ด้วยว่าซื่อจื่อที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาไม่มีคนใดที่ใช้การได้เลยสักคน ไหนเลยจะเทียบได้กับเนี่ยจงที่อยู่ภายใต้การดูแลของท่านซึ่งถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีและฉลาดเฉลียวรู้ความ…”
ผิงชวนอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไอโขลกๆ อย่างแรงจนตัวโคลงไปทั้งตัว
เขารู้ว่าคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างราชครูเว่ยผู้นี้ได้วางสายลับไว้ทั่วทุกแห่งในแว่นแคว้นอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องอื้อฉาวในกาลเก่าก่อนพรรค์นี้ก็ถูกอีกฝ่ายสืบสาวจนรู้เรื่องราวทุกซอกทุกมุมเพียงนี้ด้วย
ชายาคนปัจจุบันในจวนของผิงชวนอ๋องคือชายาที่เขาแต่งเข้ามาใหม่หลังจากที่ชายาคนเก่าตายไปด้วยอาการป่วย สตรีเพียบพร้อมจากตระกูลใหญ่ที่มีฐานะชื่อเสียงมาแต่งให้กับเขาสุดท้ายแล้วก็ดูเยาว์วัยเกินไป เขาเองก็ร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นเรื่องในห้องหอย่อมไม่ไหวไร้เรี่ยวแรงเป็นธรรมดา
ที่น่าชังคือเมื่อครั้งที่ผิงซีอ๋องยังเป็นซื่อจื่ออยู่ในตอนนั้นได้กระทำการอุกอาจไร้ยางอาย ถึงกับฉวยโอกาสตอนเทศกาลชมโคม ยามที่ในตำหนักของไทเฮาว่างเปล่าไร้ผู้คน ล่อลวงชายาคนใหม่ของเขาไปกระทำเรื่องผิดศีลธรรมจรรยา
ต่อมาถูกไทเฮาจับได้ แต่ก็เพียงดุด่ายกหนึ่งเท่านั้น ใครใช้ให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับน้องห้าของเขาล้วนถือกำเนิดจากไทเฮาด้วยกันทั้งคู่เล่า ผิงซีอ๋องซื่อจื่อนั่นเป็นหลานชายสายตรงของไทเฮาเชียวนะ! เรื่องใหญ่ย่อมกลายเป็นเรื่องเล็กไปโดยปริยาย
ทว่าหลังจากชายาที่แต่งเข้ามาใหม่ผู้นั้นกลับจวนแล้วท้องของนางก็ค่อยๆ โตขึ้น ในที่สุดก็ปิดบังไม่ได้อีกต่อไป นางจึงเล่าความจริงทุกอย่างให้ผิงชวนอ๋องฟังอย่างละเอียดลออ
ผิงชวนอ๋องเป็นคนใจดีมีเมตตา ถึงแม้จะโกรธเคืองมากเสียจนอยากจับตัวชายาคนใหม่ที่ทำตัวเหลวไหลผู้นี้ถ่วงลงในบ่อน้ำก็ตามที กระนั้นก็ใจอ่อนไปชั่วขณะหนึ่ง รอจนนางคลอดบุตรชายแล้วจึงกักขังนางไว้ในหอพระ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจวนผิงชวนอ๋องมาโดยตลอด เดิมทีผิงชวนอ๋องคิดจะบีบคอเจ้าเด็กเลือดชั่วนี่ให้ตายไปเสีย แต่พอได้เห็นท่าทางน่ารักและตัวอ้วนจ้ำม่ำของเด็กคนนี้แล้วก็ตัดใจทำร้ายไม่ลง
ที่ตั้งชื่อว่า ‘เนี่ยจง’ นั้นมีนัยเผยให้เห็นถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผิงชวนอ๋องในขณะนั้น แต่เขาก็หวังว่าหลังจากเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นคงจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘จง’ ซึ่งหมายถึง ‘ซื่อสัตย์’ ได้ดีกว่าผู้เป็นมารดา พอเด็กค่อยๆ เติบโตขึ้นก็ยิ่งเฉลียวฉลาดน่ารักน่าเอ็นดู ผิงชวนอ๋องก็ยิ่งผูกพันรักใคร่มากขึ้นเรื่อยๆ ปฏิบัติต่อเด็กน้อยราวกับว่าเป็นบุตรแท้ๆ ของตนเองก็ไม่ปาน
คำพูดของเว่ยเหลิ่งเหยาทิ่มแทงใจผิงชวนอ๋องโดยแท้ เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ได้แต่หวังว่าลูกน้อยในปกครองจะมีความสุขและสืบต่อเชื้อสายวงศ์ตระกูลของเขาต่อไปในภายภาคหน้า หากหลังจากเขาตายไปแล้วผิงซีอ๋องจงใจให้เนี่ยจงรับรู้เรื่องราวหนหลังเพื่อกลับคืนสู่ตระกูล ทำลายชื่อเสียงของเขาให้เสื่อมเสียโดยเปิดเผยให้ผู้คนในใต้หล้ารู้ว่าผิงชวนอ๋องถูกหลานชายสวมหมวกเขียวเข้าให้ นั่นคงเป็นความอัปยศอดสูที่ไม่อาจยอมรับได้อย่างแท้จริง ต่อให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตเอื้อประโยชน์แก่คนต่างแซ่ก็ต้องให้ผิงซีอ๋องไปสู่ยมโลกก่อนหน้าเขาให้จงได้!
การสนทนาลับในห้องตำราวันนี้จบลงด้วยผลสำเร็จ
ผิงชวนอ๋องร่างกายอ่อนแอ ไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่ในวังหลวงเป็นเวลานาน หลังจากทูลลาฮ่องเต้แล้วก็พาบุตรชายตัวน้อยกลับจวนอ๋องที่เขาพำนักเป็นการชั่วคราว
เว่ยเหลิ่งเหยาเคาะโต๊ะด้วยความพึงพอใจอยู่สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้กินอาหารเลย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสวยพระกระยาหารแล้วหรือยัง”
หยวนกงกงรีบเรียกขันทีที่อยู่ทางนั้นมาสอบถามอย่างถี่ถ้วนแล้วรายงานว่า “เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงเอาแต่เล่นกับซื่อจื่อน้อยขอรับ เสวยเพียงเมล็ดแตงและของว่างเท่านั้น ยังไม่ได้เสวยพระกระยาหารขอรับ”
ราชครูเว่ยพยักหน้าแล้วบอกหยวนกงกงว่าอีกสักครู่เขาจะไปที่ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เพื่อร่วมกินอาหารด้วย
หยวนกงกงรีบสั่งไปยังห้องเครื่องว่าให้เตรียมอาหารที่ราชครูเว่ยโปรดปราน อีกทั้งยังส่งคนไปแจ้งตำหนักบรรทมเพื่อให้คนทางนั้นรีบเตรียมตัวไว้