คำพูดของชิวหมิงเยี่ยนได้เตือนสติเสิ่นฮองเฮาให้มุ่งมั่นที่จะเป็นฮองเฮาผู้ทรงคุณธรรมให้จงได้ นางตั้งใจว่าจะไม่สร้างภาระให้แก่สามีซึ่งเผชิญสถานการณ์อันยากลำบากในราชสำนักอยู่แล้วเพิ่มอีกเป็นอันขาด เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นของนางเริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้งในทันใด
ฮ่องเต้ประชวรหนัก ไม่ปรารถนาให้นางติดโรคไปด้วย จึงไม่อาจปรึกษาหารือด้วยได้ นางจึงเชิญองค์หญิงหย่งอันมาหารือเพื่อระดมนางกำนัลและบรรดาสมาชิกสตรีของครอบครัวขุนนางมาที่วังเพื่อช่วยกันเย็บรองเท้าผ้าให้กับเหล่าทหารที่อยู่แนวหน้า
รองเท้าผ้าดังกล่าวนี้โดยทั่วไปจะต้องผ่านฝีมือการเย็บปักของบรรดาสตรีสูงศักดิ์สิบกว่าคน คุณภาพงานฝีมืออาจไม่แข็งแรงทนทานมากนัก แต่รองเท้าที่ผ่านการให้พรจากสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้จะเพิ่มกำลังใจเสริมสร้างความฮึกเหิมมั่นใจให้มากขึ้นในยามออกศึกได้อย่างแน่นอน ต่อให้ต้องเสียท่าพ่ายแพ้ก็สามารถวิ่งหนีได้อย่างรวดเร็วราวกับเหินบนยอดหญ้า
การทำ ‘รองเท้าอวยพร’ เช่นนี้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของต้าเว่ยในยามทหารออกศึก ดังนั้นพอเสิ่นฮองเฮาเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา องค์หญิงหย่งอันย่อมไม่อาจคัดค้านได้เป็นธรรมดา เสิ่นฮองเฮาจึงเขียนเทียบเชิญด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่เทียบเชิญที่จะส่งออกไปนั้นกลับถูกหยวนกงกงขัดขวางไว้ด้วยคำพูดประโยคเดียวว่า “ราชครูเว่ยกำชับไว้ว่าให้ฮองเฮาประทับรักษาพระวรกายอยู่แต่ในวังให้ดี ไม่ควรพบปะกับเหล่าสตรีนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นทำให้แผนการทั้งหมดล้มเหลวไม่เป็นท่า
สุดท้ายเสิ่นฮองเฮาก็จนปัญญา ได้แต่กำชับองค์หญิงหย่งอันซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ช่วยต้อนรับบรรดาแขกสตรีแทนนาง
ผ่านไปหนึ่งปีกว่าแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้ร่วมทำงานฝีมือกับบรรดาสตรีจากตระกูลขุนนางแต่ละจวนในราชสำนัก เนี่ยชิงหลินจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ตนร่วมทำโคมกับบรรดาสตรีในช่วงเทศกาลโคมไฟคราวนั้น นางยังเป็นเพียงเครื่องประดับในห้องโถงที่ไร้คนสนใจถามไถ่ทุกข์สุขอยู่เลย ได้แต่นั่งมองบรรดาฮูหยินทั้งหลายแข่งขันชิงไหวชิงพริบกันอย่างเพลิดเพลิน ช่างเป็นเรื่องน่าสนุกโดยแท้ แต่ครั้งนี้นางกลับกลายเป็นตัวเอกในหมู่บรรดาสตรีไปเสียนี่ เพียงชั่วพริบตาประหนึ่งดวงเดือนถูกรายล้อมด้วยหมู่ดาราก็ไม่ปาน ช่างน่าอึดอัดจริงเชียว
อย่างเช่นตอนนี้นางรับเข็มมาจากสาวใช้ซึ่งร้อยด้ายเตรียมไว้ให้แล้ว แต่เย็บพลาดไปหนึ่งฝีเข็ม ทำให้บิดเบี้ยวไปจนเกิดเป็นเส้นโค้งแปลกประหลาดบนผิวรองเท้า ฮูหยินของรองเสนาบดีกรมพิธีการถึงกับเบิกตากว้างทันที พร้อมขยับริมฝีปากอวบอูมพูดขึ้นว่า “องค์หญิงทรงฉลาดหลักแหลมนักเพคะ ลายนี้แปลกใหม่ ไม่ดูทื่อๆ เหมือนลายปักของพวกเราเลย เห็นทีต้องขอเรียนรู้จากองค์หญิงให้มากเข้าไว้แล้วเพคะ!”
ฮูหยินคนอื่นๆ ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ต่างพากันชะเง้อชะแง้มามองดู พอเห็นฝีเข็มที่แตกแถวไม่ได้เรื่องนั่นกลับพากันพยักหน้าชมเชยกันยกใหญ่ว่า “ใช่เลยเพคะ! ดูหรูหราสง่างามยิ่งนัก พวกเราทำตามแบบขององค์หญิงบ้างดีกว่า…”
เมื่อมองดูรอยเย็บที่บิดเบี้ยวบนรองเท้าคู่แล้วคู่เล่าพวกนั้น เนี่ยชิงหลินก็ได้แต่คร่ำครวญในใจ เหล่าทหารกล้าแนวหน้าทั้งหลายเอ๋ย องค์หญิงอย่างข้าทำผิดต่อพวกเจ้านัก ยามออกรบบุกตะลุยข้าศึกขออย่าให้พื้นรองเท้าหลุดออกมาเป็นพอด้วยเถิด!
หลังจากสรรเสริญเยินยอกันไปยกหนึ่งแล้ว บรรดาฮูหยินก็เริ่มพูดคุยถึงสถานการณ์การรบในดินแดนทางใต้ จะว่าไปแล้วฮูหยินเหล่านี้กลับรู้เรื่องราวมากกว่าเนี่ยชิงหลินที่อยู่ในวังเสียอีก
อย่างน้อยที่สุดเนี่ยชิงหลินก็ได้รู้ข่าวอาการบาดเจ็บของราชครูเว่ยจากปากของฮูหยินผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายเหล่านี้นี่เอง
ครั้นฮูหยินของรองเสนาบดีกรมพิธีการเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ราชครูเว่ยถูกงูพิษกัดอย่างสมจริงสมจังว่าโชคดีที่องค์หญิงแห่งหนานเจียงซึ่งร่วมเดินทางไปกับกองทัพด้วยในฐานะผู้นำทางช่วยชีวิตราชครูเว่ยไว้โดยใช้ปากดูดพิษออกมาอย่างกล้าหาญไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเองเลยนั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันมองไปที่องค์หญิงหย่งอันซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานโดยไม่ได้นัดหมาย
ฮูหยินรองเสนาบดีกรมพิธีการพลันรู้ตัวว่าตนเองเผลอหลุดปากพูดออกไป จึงรีบสงบปากสงบคำเตรียมเปลี่ยนเรื่องพูด ทว่าก็มีบางคนที่ไม่รู้กาลเทศะ พอฟังถึงตอนสำคัญแล้วหยุดไปเช่นนั้นก็ทำให้ค้างคาใจอย่างมาก จึงโพล่งถามขึ้นมาว่า “ท่านราชครูบาดเจ็บตรงที่ใดหรือ”
มีคนพูดเบาๆ ขึ้นมาว่า “ได้ยินว่า…บาดเจ็บที่โคนขานะ…”
เข็มในมือของบรรดาฮูหยินต่างชะลอลงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดตามไปด้วย ท่านราชครูผู้สง่างามปานประดุจเทพเซียนถลกชายชุดขึ้นเผยให้เห็นต้นขาที่แข็งแกร่งเปลือยเปล่า ไอร้อนแผ่ออกมาจากท่อนขากำยำที่ถ่างแยกออก และองค์หญิงผู้เลอโฉมที่งดงามทรงเสน่ห์เย้ายวนก็คลานไปที่ลำตัวท่อนล่างของท่านราชครูแล้วก็ดูดไปทีละคำๆ…