เก๋อชิงหย่วนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ราชครูผู้นั้นผ่านศึกมาโชกโชนนับร้อย ไม่น่าไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ อาจมีกลลวงก็เป็นได้นะขอรับ”
หนานเจียงอ๋องแค่นเสียงฮึออกมาเสียงหนึ่ง แม่ทัพที่อยู่ด้านข้างผู้หนึ่งไม่ถูกชะตากับคนจากต้าเว่ยผู้นี้ที่กลายมาเป็นขุนนางคนโปรดของหนานเจียงอ๋อง พอได้ยินเก๋อชิงหย่วนเอ่ยเตือนเข้าก็พูดอย่างเย้ยหยันขึ้นว่า “คู่ต่อสู้ที่ผ่านมาของเจ้าคนอ่อนหัดนั่นล้วนโง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถ จะมาเปรียบเทียบกับท่านอ๋องได้อย่างไรกันเล่า มิหนำซ้ำหลิ่งหนานอ๋องก็ได้เปิดเผยรายละเอียดของเจ้านั่นให้พวกเรารู้ตั้งนานแล้วด้วยว่าจากความพ่ายแพ้ในการสู้รบครั้งก่อนๆ ทหารของเจ้านั่นมีไม่เกินสามหมื่นนายเท่านั้น ดูจากจำนวนทหารที่เขานำมาในวันนี้น่าจะเกือบทั้งหมดแล้วล่ะ”
“ถึงเขาจะมีกลอุบายแต่ก็เปลี่ยนแปลงจำนวนทหารไม่ได้หรอก จะกลัวเขาไปด้วยเหตุใดกันเล่า” หนานเจียงอ๋องมองดูแม่ทัพที่กล่าววาจาผู้นั้นอย่างพึงพอใจ ก่อนจะโบกมือสั่งการอย่างเฉียบขาด “ทหารทั้งหมดลุยเลย!”
กองทัพทางน้ำของหนานเจียงไล่ตามกองทัพของราชครูเว่ยอย่างฮึกเหิม ในไม่ช้าก็ข้ามผ่านบึงใหญ่เข้าสู่เขตน้ำที่แคบลงและเต็มไปด้วยต้นกก ทันใดนั้นก็มีเสียงฆ้องดังขึ้นทีหนึ่ง เรืออาชาแดงก็แล่นออกมาจากดงต้นกกทางด้านหลังทีละลำๆ โดยราชครูเว่ยได้สั่งการให้ทหารนำเรืออาชาแดงห้าร้อยลำพร้อมกับทหารสามพันนายไปซ่อนตัวอยู่หลังดงต้นกกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ทหารด้านหน้าที่ทำทีเป็นถอยร่นหลบหนีมาก่อนหน้านี้ก็โยนเถาวัลย์ไม้ที่อยู่บนดาดฟ้าเรือลงไปในน้ำแล้วหันหัวเรือวกกลับมา ล้อมเรือรบแพไม้ไผ่จำนวนหนึ่งของทหารแดนใต้ไว้ตรงกลาง
หนานเจียงอ๋องที่อยู่บนเรือบัญชาการเห็นกำลังพลของตนถูกล้อมไว้ก็ไม่ตกใจแต่อย่างใด กลับแค่นเสียงพูดว่า “ถูกล้อมแล้วอย่างไรรึ! ทหารทางเหนืออ่อนหัดในการสู้รบทางน้ำ เพียงปะทะเล็กน้อยก็แตกพ่ายแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องห่วงด้านหลัง กองทัพของข้าบุกตะลุยไปข้างหน้าได้เลย”
ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำเอาหนานเจียงอ๋องกับเหล่าแม่ทัพของเขาตกใจยกใหญ่ เมื่อคราวนี้เรืออาชาแดงของทางเหนือมั่นคงผิดปกติ ไม่โคลงเคลงง่ายๆ ส่วนบรรดาทหารพวกนั้นพอสังเกตการต่อสู้แล้วก็ดูไม่ออกเลยว่าไม่ชำนาญในการสู้รบทางน้ำแต่อย่างใด
หากตัดข้อได้เปรียบในการสู้รบทางน้ำออกไปแล้ว ลำพังความสามารถในการสู้รบเพียงอย่างเดียว ทหารของหนานเจียงไม่มีทางเทียบกับทหารภายใต้การนำของราชครูเว่ยได้เลยจริงๆ ความสามารถของทหารแห่งกองทัพธงดำล้วนฝึกฝนเคี่ยวกรำผ่านคมหอกคมดาบและอาวุธต่างๆ ในสมรภูมิรบจริงมาทั้งนั้น ในขณะที่ทหารส่วนใหญ่จากหนานเจียงพวกนั้นเป็นเพียงกองกำลังชาวบ้านที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำสงคราม จะมาเทียบชั้นกันได้หรือ ไม่เพียงแต่ตีฝ่าวงล้อมออกมาไม่ได้เท่านั้น แต่ยังถูกบีบจนต้องถอยร่นไปทีละนิดๆ จนวงล้อมแคบเข้ามาเรื่อยๆ อีกต่างหาก
ยามนี้หนานเจียงอ๋องถึงได้ตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว สั่งให้เรือรบที่มีกระดูกงู รูปทรงแปลกตาห้าลำซึ่งลอยอยู่ข้างเรือบัญชาการออกไปรบ เรือใหญ่เหล่านี้เป็นเรือที่หนานเจียงอ๋องทุ่มเงินมหาศาล ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างเสร็จ ลำตัวเรือแคบ สูงหนึ่งจั้ง แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ด้านบนของเรือเต็มไปด้วยไม้แหลมยื่นออกมาสำหรับกระแทกชน อย่าว่าแต่ดงกกที่ขวางทางเลย แม้แต่เรือรบขนาดใหญ่ของต้าเว่ยที่ใช้ออกศึกเมื่อคราวก่อน หากถูกเรือรบแข็งแกร่งทนทานเช่นนี้ชนไม่กี่ครั้งก็พลิกคว่ำแน่ๆ นี่คืออาวุธลับของหนานเจียงอ๋องซึ่งยังไม่เคยใช้ในการรบทางน้ำมาก่อน
ราชครูเว่ยที่อยู่บนฝั่งเห็นเรือรูปทรงประหลาดบุกเข้ามาก็แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น สายลับที่เขาส่งมาแฝงตัวอยู่ในหนานเจียงได้ส่งข่าวเรื่องเรือประหลาดของหนานเจียงอ๋องให้เขาทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเขาก็ได้เตรียมแผนการรับมือไว้เรียบร้อย พอเขาโบกมือ เจ้าหน้าที่สื่อสารที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยกธงสีแดงและสีขาวสองอันในมือขึ้นมาโบกเพื่อส่งสัญญาณทันที เรือขนาดใหญ่ของกองทัพเรือทางเหนือก็พุ่งออกมาเป็นคู่ๆ โดยไม่รอช้า เรือแต่ละคู่มีโซ่เหล็กหนาหลายเส้นเชื่อมระหว่างกันไว้ ลำหนึ่งอยู่ทางซ้ายอีกลำหนึ่งอยู่ทางขวา ขนาบเรือยักษ์ของกองทัพหนานเจียงไว้ด้วยโซ่เหล็ก ทำให้เรือยักษ์ขยับไปที่ใดไม่ได้ เรือที่เคลื่อนที่ไม่ได้ก็คือเป้ายิงนิ่งๆ นั่นเอง ท้ายที่สุดก็ถูกโจมตีอย่างง่ายดาย
ท่ามกลางลูกธนูที่ยิงใส่ฝ่ายตรงข้ามราวกับห่าฝน ทหารทางเหนือก็ปีนขึ้นไปบนเรือขนาดยักษ์และต่อสู้ในระยะประชิดกับทหารของหนานเจียง ไม่นานก็สามารถควบคุมเรือประหลาดเหล่านั้นได้สำเร็จ