เมื่อหนานเจียงอ๋องเห็นว่าเรือหัวรบทองแดงแขนเหล็กซึ่งเป็นอาวุธลับนี้ล้มเหลวก็หน้าซีดเผือดสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด เร่งทหารของเขาให้กระโดดลงน้ำไปเจาะใต้ท้องเรืออาชาแดงของอีกฝ่ายเพื่อเปิดทางให้เรือบัญชาการของเขาหลบหนีออกไปได้ ทหารจากหนานเจียงกระโดดลงไปในน้ำเหมือนเกี๊ยวที่ถูกหย่อนลงไปในหม้อ แต่พอพวกเขาดำดิ่งลงไปถึงใต้ท้องเรือของอีกฝ่ายกลับต้องผิดหวังเมื่อพบว่าที่ท้องเรือมีเถาวัลย์พันล้อมไว้อย่างแน่นหนาราวกับกรงนกอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีช่องว่างให้คนสามารถลอดผ่านไปได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นเถาวัลย์พันล้อมหนาเกินไป ใช้แรงฟันเถาวัลย์ที่อยู่ใต้น้ำไม่ไหวจริงๆ และอากาศที่ใช้กลั้นหายใจไว้ก็ไม่มากพอให้ฟันท่อนเสาขาดสะบั้นในดาบเดียว ต้องขึ้นมาหายใจใหม่หลายครั้งถึงจะสามารถตัดเสาให้หักได้หนึ่งต้น แต่ทันทีที่นักรบใต้น้ำของหนานเจียงโผล่ขึ้นมาสูดอากาศหายใจก็กลายเป็นเป้ายิงนิ่งที่มีชีวิตของทหารทางเหนือทันที ทั้งที่หนานเจียงอ๋องสูญเสียทหารไปนับร้อยนาย ทว่ากลับจมเรืออาชาแดงของอีกฝ่ายได้เพียงไม่กี่ลำเท่านั้น
ตอนนี้หนานเจียงอ๋องถึงกับขวัญกระเจิงโดยสิ้นเชิง เขาตะโกนลั่นสุดเสียงด้วยเสียงแหบแห้งสั่งให้ทหารบุกไปข้างหน้าอย่างสู้จนตัวตาย พร้อมให้สัญญาว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถฝ่าศัตรูช่วยเขาให้ออกจากเส้นทางนองเลือดนี้ไปได้จะเลื่อนตำแหน่งให้อย่างงาม และจะมอบทองคำเพชรนิลจินดาให้เป็นรางวัล อีกทั้งยังจะแบ่งปันอนุของตนให้ทั้งหมดด้วยเช่นกัน พร้อมกันนั้นเขายังสั่งให้หน่วยควบคุมการรบที่อยู่บนเรือบัญชาการคอยยิงธนูใส่ทหารที่ไม่กล้าบุกเข้าไปจนตาย ด้วยแรงจูงใจในตำแหน่งลาภยศและทรัพย์สมบัติ รวมถึงแรงกดดันจากหน่วยควบคุมการรบ ทหารของหนานเจียงจึงทุ่มเทบุกตะลุยอย่างสุดชีวิต เพียงไม่นานต้นกกในแม่น้ำก็ถูกชโลมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดง เลือดไหลนองจนแม่น้ำเป็นสีแดงฉาน ศพจำนวนนับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนอยู่บนผืนน้ำในชั่วพริบตา
หนานเจียงได้สูญเสียความได้เปรียบไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามทหารของหนานเจียงอ๋องที่ออกมาสู้รบล้วนตายเกลื่อน ที่เหลือส่วนใหญ่ได้ยอมจำนนไปแล้ว เหลือเพียงหนานเจียงอ๋องและแม่ทัพคนสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่บนเรือบัญชาการ
เว่ยเหลิ่งเหยาเห็นว่าเรือบัญชาการถูกเรืออาชาแดงบีบให้เข้ามาใกล้ฝั่งมากขึ้นทุกที ส่วนหนานเจียงอ๋องที่ตกอยู่ในสภาวะคับขันก็ถึงกับคิดจะกระโดดลงน้ำเพื่อว่ายน้ำหนีเอาชีวิตรอด เขาจึงยืนนิ่งอยู่บนฝั่งแล้วหยิบคันธนูพร้อมลูกธนูขึ้นมาเกี่ยวสายอย่างใจเย็น ก่อนจะง้างสายธนูยิงออกไป คันธนูที่หนักหน่วงปานหินปล่อยลูกธนูแหลมคมพุ่งทะยานแหวกอากาศตรงไปที่หนานเจียงอ๋อง ทะลุเข้าไปที่ไหล่ของหนานเจียงอ๋องตรึงตัวอีกฝ่ายไว้กับเสากระโดงเรืออย่างแน่นหนา หนานเจียงอ๋องส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่หยุด
ด้วยลูกธนูดอกเดียวของเว่ยเหลิ่งเหยาก็สยบทุกอย่างได้ทันที สามารถจับเป็นหนานเจียงอ๋องไว้ได้ แต่เมื่อเขานำคนบุกเข้าไปในกระโจมกลับไม่พบร่องรอยของสองพี่น้องสกุลเก๋อ คาดว่าสองคนนั้นคงเห็นท่าไม่ดีตั้งแต่ตอนเปิดฉากสู้รบกัน จึงรีบฉวยจังหวะเผ่นหนีไปแล้ว!
เว่ยเหลิ่งเหยาขมวดคิ้วพลางแค่นเสียงฮึ เอ่ยว่า “เก๋อชิงหย่วน ข้าจะคอยดูซิว่าหนูสกปรกที่ชอบมุดศีรษะในเงามืดอย่างเจ้าจะหลบหนีไปได้ถึงเมื่อใด!”
หลังจากจบศึกดงต้นกกแล้วทหารของหนานเจียงก็ไร้พิษสงอีกต่อไป หลิ่งหนานอ๋องผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ไม่เข้าที จึงรีบหนีกลับไปยังดินแดนของตน แต่เว่ยเหลิ่งเหยาเป็นผู้นำทัพเอง จะปล่อยให้อ๋องศักดินาที่แข็งข้อเปิดศึกโจมตีเขาอย่างเปิดเผยอยู่รอดต่อไปได้อย่างนั้นหรือ หนึ่งเดือนต่อมาหลิ่งหนานอ๋องก็ถูกปราบอย่างราบคาบ
แม้ยังคงมีกลุ่มทหารกองโจรที่จัดตั้งโดยหนานเจียงอ๋องกระจัดกระจายระเหเร่ร่อนอยู่ตามแนวภูเขา แต่พวกเขาก็อยู่ในสภาพอ่อนแรงไร้พิษสงจนไม่อาจก่อปัญหาวุ่นวายได้อีกต่อไป หนานเจียงอ๋องผู้เฒ่าซึ่งถูกกักขังมานานได้รับการปล่อยตัวออกมา และประกาศแต่งตั้งองค์หญิงฉี่เคอผู้เป็นบุตรสาวของตนให้เป็นหนานเจียงอ๋องคนใหม่แห่งแดนใต้แทน
ในพิธีแต่งตั้งท่านอ๋องคนใหม่ เว่ยเหลิ่งเหยาก็มาแสดงความยินดีกับนางด้วย ในระหว่างงานเลี้ยงหลี่ว์อวี้ต๋าเบ้ปากพลางมองไปทางผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านอ๋องและท่านโหวพวกนั้นพร้อมกระซิบถาม “ท่านราชครู เหตุใดพวกเราไม่ใช้โอกาสนี้ผนวกหนานเจียงนี่มาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนต้าเว่ยเสียเลยเล่าขอรับ แทนที่จะปล่อยให้พวกมันอยู่ในฐานะแคว้นบริวารเช่นนี้น่ะ”
ราชครูเว่ยดื่มสุราไปมากแต่สีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยนขณะเอ่ยตอบว่า “แคว้นบริวารในหนานเจียงมีมากมาย ผู้คนไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อีกทั้งยังมีเทือกเขาใหญ่ขวางกั้นอยู่ ยิ่งทำให้จัดการดูแลไม่ได้ง่ายๆ มิสู้กำราบหนานเจียงอ๋องให้อยู่หมัด แล้วใช้วิธี ‘ยืมมืออีกฝ่ายจัดการอีกฝ่าย’ ดีกว่า จึงจะเป็นวิธีการจัดการที่ยั่งยืน”
หลี่ว์อวี้ต๋าถึงได้พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ