บทที่หก
เมืองหลวง ห้องหนังสือบ้านสกุลฝู
ฝูจิ่งเซิงลูบผ้าห่มใยไหมสองผืนกับผ้าไหมที่ส่งด่วนมาจากตำบลคังติ้ง ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกตื่นตะลึงก็โกหกแล้ว มิน่าหลงจู๊ไล่ถึงได้ส่งของสองอย่างนี้มาถึงมือเขาด้วยวิธีที่เร็วที่สุด
อวิ๋นโหยวบ่าวที่อยู่ด้านข้างอดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “นายน้อย ผ้าไหมพับนี้กับผ้าห่มใยไหมสองผืนนี้มีปัญหาหรือขอรับ” นายน้อยดูของสองอย่างนี้มาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว ทั้งพลิกไปพลิกมาดูแล้วดูอีก แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ เขาไม่เคยเห็นนายน้อยเป็นเช่นนี้มาก่อน
คำถามของบ่าวรับใช้ปลุกฝูจิ่งเซิงให้ตื่นจากการครุ่นคิด เขาได้สติกลับคืนมาและเอ่ยขึ้นช้าๆ “มีปัญหา มีปัญหาอย่างมาก ของสองสิ่งนี้ไม่รู้ยอดฝีมือท่านใดเป็นคนทำ แม้แต่ข้าก็ไม่อาจคาดเดาถึงความลี้ลับที่อยู่ภายในได้”
“แม้แต่นายน้อยก็มองไม่ออกหรือ” อวิ๋นโหยวออกจะประหลาดใจ สิ่งที่นายน้อยของพวกเขาเชี่ยวชาญที่สุดก็คือสิ่งทอ ที่ผ่านมาสิ่งทอที่ไม่เคยเห็นเมื่อมาถึงมือนายน้อย เพียงเวลาไม่นานอีกฝ่ายก็จะรู้แจ้งถึงวิธีการทออย่างละเอียดแล้ว
ฝูจิ่งเซิงรู้สึกอับจนปัญญา ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “ใช่…ขบคิดไม่ออก…”
ในเวลานี้เองประตูห้องหนังสือที่ปิดแน่นก็มีเสียงเคาะดังกังวานขึ้น ซื่อไห่บ่าวอีกคนของเขาส่งเสียงมา
“นายน้อย มีจดหมายด่วนฉบับหนึ่งมาจากตำบลฝูเต๋อ อีกทั้งมีเทียบเชิญส่งมาจากในวังขอรับ”
“เอาเข้ามา” ฝูจิ่งเซิงเกิดความฉงนสนเท่ห์ขึ้นมาในใจ การคัดเลือกวาณิชหลวงสี่ปีครั้ง ปีที่แล้วเพิ่งดำเนินการเสร็จสิ้นไป เหตุใดวังหลวงจึงส่งเทียบเชิญมาอีก
หรือจะเกี่ยวกับเรื่องนั้น
ซื่อไห่เอาจดหมายสองฉบับที่เพิ่งได้รับเข้ามามอบให้ในห้องหนังสือ
เปิดเทียบเชิญจากวังหลวงออกมา คิ้วเข้มชวนมองคู่นั้นของฝูจิ่งเซิงพลันขยับเข้าหากัน “ดูเหมือน…ข่าวที่พวกเราได้รับมาจะไม่ผิด”
สีหน้าของอวิ๋นโหยวกับซื่อไห่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองเขาแล้วพูดออกมาพร้อมกัน “ถ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าฮองเฮาจะทรงลงมือต่อหลู่กุ้ยเฟย* แล้ว!”
ฝูจิ่งเซิงพยักหน้า “น่าจะใกล้แล้วล่ะ ข่าวที่เราได้รับมาก่อนหน้านี้ ฮองเฮาทรงคิดจะสั่งสอนหลู่กุ้ยเฟยมานานแล้ว แต่ติดที่ไม่มีโอกาส ช่วงหลายวันก่อนหลังจากฮองเฮาทรงสวมผ้าแพรอวิ๋นจิ่น* ที่สกุลหลู่เชิญหญิงปักผ้าปักทอขึ้นเป็นพิเศษพับนั้นก็เริ่มคันขึ้นมาทั้งตัว เป็นเหตุให้ทรงกริ้วหนัก”
“ที่ผ่านมาฮองเฮาทรงหาโอกาสลงโทษหลู่กุ้ยเฟยไม่ได้ ครั้งนี้สกุลหลู่พาตนเองมาส่งให้ถึงประตู ฮองเฮามีหรือจะทรงปล่อยไปโดยง่าย” อวิ๋นโหยวพูดอย่างยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น “ไม่ตัดเงินของหลู่กุ้ยเฟย ฮองเฮามีหรือจะทรงยินยอม”
ฝูจิ่งเซิงพยักหน้า “ใช่ แม้ปีที่แล้วจะตัดสินไปแล้วว่าวาณิชหลวงที่รับผิดชอบการทอผ้ายังคงเป็นสกุลหลู่รับตำแหน่ง แต่เพราะเรื่องนี้ ฝ่าบาทได้ทรงมีบัญชาให้ทำการคัดเลือกวาณิชหลวงใหม่”
ซื่อไห่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฮองเฮาทรงมีฝีมือเฉียบขาดยิ่ง ฉวยโอกาสตัดถุงเงินของหลู่กุ้ยเฟย ดูซิต่อไปนางจะโอ้อวดอำนาจในตำหนักฝ่ายใน ไม่เห็นฮองเฮาอยู่ในสายตาได้อย่างไร”
“นายน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นโอกาสดีของพวกเราสกุลฝู เราไม่อาจปล่อยโอกาสให้ผ่านไป” อวิ๋นโหยวเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
เพียงแต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือสีหน้าเฉยเมยของฝูจิ่งเซิง
“นายน้อย โอกาสที่ดีเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงเหมือนไม่ดีใจ”
“การดีใจที่เปล่าประโยชน์ มีอะไรต้องดีใจ”
“การดีใจที่เปล่าประโยชน์?” ทั้งสองคนต่างไม่เข้าใจ
“แม้ข้าจะจดจ่อสนใจเรื่องสิ่งทออย่างมาก แต่พวกเจ้าก็รู้ดี กำลังความสามารถของข้ายังคงห่างไกลจากสกุลหลู่ที่ก่อร่างสร้างตัวจากสิ่งทอและสืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปีแล้ว ด้วยเหตุนี้การคัดเลือกวาณิชหลวงสี่ปีครั้ง สกุลฝูจึงพ่ายแพ้ในเรื่องสิ่งทอเสมอ สูญเสียสิทธิ์ที่จะช่วงชิงตำแหน่งวาณิชหลวง กิจการการค้าของทั้งสองสกุลคล้ายคลึงกันเกินไป ขอเพียงมีบ้านสกุลหลู่อยู่ เราก็ไม่มีทางคว้าตำแหน่งวาณิชหลวงมาได้” ฝูจิ่งเซิงสาดน้ำเย็น* ใส่พวกเขาถังหนึ่งอย่างเยียบเย็น “ถึงแม้ปีนี้จะทำการคัดเลือกใหม่ เว้นเสียแต่สกุลหลู่จะไม่เข้าร่วม หาไม่สุดท้ายแล้วผู้ชนะยังคงเป็นพวกเขา การคัดเลือกในปีนี้ก็แค่ทำเป็นพิธีให้ฮองเฮาทรงคลายโทสะเท่านั้น”