แดนมนุษย์ ในหมู่บ้านต้าเคิง ตำบลฝูเต๋อ เมืองโยวโจว แคว้นหนานเฉาได้เกิดคดีใช้จอบทุบศีรษะคนบาดเจ็บขึ้น ผู้ได้รับบาดเจ็บหมดสติมาสามวันแล้ว เวลานี้กำลังจะสิ้นใจ
ราตรีกาลมืดวิเวก เปลวไฟขนาดเมล็ดถั่วในตะเกียงน้ำมันส่องแสงสว่างผ่านร่องนิ้วที่ป้องปิดอยู่ออกมาเล็กน้อย ส่องสะท้อนผนังดินที่กระดำกระด่าง เงาร่างเลือนรางด้านบนสั่นไหวไปตามลำแสง
เสียงร้อนรนทว่าพยายามกดต่ำหลายเสียงดังขึ้นที่มุมกำแพง…
“เป็นอย่างไร ตายหรือยัง”
คำตอบที่คนผู้นั้นได้รับคือความนิ่งเงียบยาวนาน ทำให้ผู้เอ่ยปากถามอดรนทนไม่ไหวส่งเสียงเร่งรัด “เฮ่อซื่อ* เวลานี้สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าก็พูดออกมาสักคำสิ ข้าจะได้กลับไปตอบคนอื่นถูก เจ้าเอาแต่นิ่งเงียบ หมายความว่าอย่างไรกันแน่”
เฮ่อซื่อที่มองตะเกียงใจลอยพลันตื่นจากภวังค์ ระบายลมหายใจออกมาด้วยความร้อนใจ “ยังจะหมายความอย่างไรได้ นอกจากนางผู้นี้ยังไม่ขาดใจ”
“ยังไม่? สามวันแล้วยังไม่สิ้นลมอีก ดวงแข็งยิ่งนัก”
“ก็นั่นน่ะสิ” เฮ่อซื่อบอกอย่างกลัดกลุ้ม “มารดามันเถอะ ทำให้ข้าร้อนใจแทบตายแล้ว นางเด็กหน้าเหม็นเหมยหรูเซียนผู้นี้ จะตายก็ไม่รีบตาย ตอนหามกลับมาจากในนาก็ลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ได้มาจนถึงป่านนี้ ตั้งสามวันแล้ว ยังไม่รีบขาดใจ จะได้หามไปบ้านคหบดีซุนรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา”
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ทางคหบดีซุนไม่อาจรอได้”
เฮ่อซื่อขมวดคิ้วพูดอย่างแค้นใจ “ป้าหวัง ท่านร้อนใจ ข้ายิ่งร้อนใจกว่าท่าน แต่เรื่องนี้เร่งไม่ได้ นางเด็กสมควรตายนั่นยังหายใจอยู่ เหลือแค่ลมหายใจรวยรินมาสามวันแล้ว ข้าจะทำอย่างไรได้ นี่ก็ร้อนใจจนมุมปากมีตุ่มพุพองแล้ว”
เมื่อครึ่งเดือนก่อนบุตรชายขี้โรคของคหบดีซุนเศรษฐีอันดับหนึ่งของตำบลที่บำรุงร่างกายด้วยโสมและ เห็ดหลิงจือได้เสียชีวิตลง คหบดีซุนจึงคิดจะหาหญิงสาวอายุสิบสองถึงสิบเจ็ดปีที่ตายในช่วงไม่กี่วันนี้มาทำพิธีแต่งงานระหว่างคนตาย เมื่อไปอยู่แดนนรกจะได้มีคนคอยปรนนิบัติดูแลบุตรชายของเขา ด้วยเหตุนี้จึงตั้งราคาหนึ่งร้อยตำลึงซื้อศพที่เพิ่งตายร่างหนึ่ง
ทว่าทุกวันนี้ไม่มีทั้งภัยธรรมชาติทั้งภัยจากมนุษย์ ตำบลฝูเต๋อที่พวกเขาอยู่แม้จะเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังนับว่ากินอิ่มนอนอุ่น ไม่มีใครอดตาย ด้วยเหตุนี้ในเวลาอันสั้นจะหาหญิงสาวที่เพิ่งตายลง จึงยากจะหาคนที่เหมาะสมได้
เมื่อเหมยหรูเซียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้า เฮ่อซื่อจึงดีใจยิ่งนัก รีบเข้าไปตำบลหาป้าหวังผู้รับผิดชอบเรื่องนี้
ป้าหวังรับปากนางว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้นจะไม่หักค่านายหน้า เพียงรับซองแดงที่คหบดีซุนมอบให้ เมื่อคนสิ้นลมให้นางหามมาที่ตำบลก็จะมอบเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้นางทันที นึกถึงเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เปล่งประกายวับวาวแล้ว นางย่อมร้อนใจยิ่งกว่าใคร
“นางเด็กต่ำช้าช่างดวงแข็งยิ่ง” ป้าหวังพ่นคำด่าออกมา พลันนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยเตือนนางเสียงเย็น “เฮ่อซื่อ เจ้าเคยคิดหรือไม่ เกิดนางเด็กต่ำช้าดวงแข็งจริง ไม่ยอมสิ้นใจ เจ้าคิดจะจัดการเช่นไร”
“ไม่กระมัง สภาพของนางดูเหมือนใกล้จะตายอยู่แล้ว” เฮ่อซื่ออดกังวลขึ้นมาในใจไม่ได้
“ข้าพบเห็นเรื่องราวมามากกว่าเจ้า อย่าคิดว่าข้ายายแก่ขู่ขวัญเจ้า” ป้าหวังกล่าวพลางหัวเราะเสียงเย็น “ขอเตือนเจ้าอีกเรื่อง นางเด็กต่ำช้าในห้องผู้นั้นศีรษะของนางถูกเจ้าใช้จอบทุบจนได้รับบาดเจ็บ เป็นเรื่องภายในครอบครัวพวกเจ้าย่อมไม่เอะอะโวยวายไปถึงศาล แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ถ้านางตายไป พวกเจ้าก็ดีอกดีใจ แต่ถ้านางไม่ตาย เจ้าเป็นคนทำให้นางบาดเจ็บ เจ้าต้องออกเงินให้นางไปหาหมอรักษาอาการบาดเจ็บ ทั้งยังต้องดูแลนาง นอนอยู่บนเตียงวันสองวันยังพอไหว เกิดนอนไม่ได้สติเช่นนี้แต่ยังมีลมหายใจ เจ้าจะทำเช่นไร”
เฮ่อซื่อได้รับคำเตือนเช่นนี้ก็ย่นหัวคิ้วโดยไม่รู้ตัว ที่ป้าหวังพูดใช่จะไม่มีเหตุผล หากไม่ตาย นางสูญเสียเงินหนึ่งร้อยตำลึง ทั้งยังต้องดูแลนางเด็กต่ำช้านั่น นี่จะได้อย่างไรกัน!