“จย่าซื่อ เมื่อครู่ข้าทำไม่ถูก วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้แปรงฟัน ข้าปากเหม็น ถึงได้พูดจาล่วงเกินเจ้า เจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างอย่าถือสาผู้น้อยเลย” หลินซื่อแม้จะโกรธแค้นอยู่เต็มอก แต่มือของตนยังอยู่ในมือบุตรสาวผู้อื่น ไม่อาจไม่ก้มหัวยอมรับผิด
“ไม่เป็นไร คนบ้านเดียวกันย่อมกระทบกระทั่งกันบ้างไม่มากก็น้อย พูดคุยกันเข้าใจก็ดีแล้ว” จย่าอิ๋งชุนหากล้าล่วงเกินคนในหมู่บ้านไม่ รีบโบกไม้โบกมือตอบ
ก่อนปล่อยมือหลินซื่อ เหมยหรูเซียนเอ่ยเตือนเสียงหนักอีกครั้ง “ข้าชิงชังคนที่พูดเหตุผลสู้ไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือเป็นที่สุด คราวหน้าก่อนเจ้าจะลงมือ ทางที่ดีดูก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ไม่ใช่ทุกคนจะรังแกง่ายเช่นนั้น”
“รู้แล้ว…ข้ารู้แล้ว…” หลินซื่อมีเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด พยักหน้าด้วยความเจ็บปวด
“จะให้ดีจดจำคำของข้าไว้” เหมยหรูเซียนออกแรงบีบหนักๆ อีกครั้งแล้วจึงปล่อยหลินซื่อ จากนั้นก็หยิบผ้ามาเช็ดมือตนเอง คล้ายจับถูกอะไรที่น่าขยะแขยงเช่นนั้น “เจ้าลบหลู่แม่ของข้าเช่นไร ข้าก็มอบคืนให้เจ้าเช่นนั้น เจ้าข่มเหงข้าเช่นไร ข้าก็ตอบโต้เจ้าคืนเช่นนั้น ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองดู”
“ไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว”
พร้อมกันนั้นเหมยหรูเซียนก็กวาดสายตาเยียบเย็นมองทุกคนบนรถเทียมวัว กล่าวเตือนแม่บ้านหลายคนที่แต่ไรมาชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่นลับหลังด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้าขอฝากคำพูดไว้ตรงนี้ ใครกล้าข่มเหงรังแกแม่กับน้องชายของข้า ข้าอาจถือมีดไปฟันคนผู้นั้นถึงบ้าน ดังนั้นข้าขอเตือนทุกท่าน อย่าคิดว่าท่านแม่ข้าเป็นหญิงม่ายก็จะข่มเหงได้ง่ายๆ”
แม้แต่ถือมีดไปฟันคนคำพูดเช่นนี้ก็กล้าพูดออกมา ไม่ได้คำนึงถึงชื่อเสียงของตนโดยสิ้นเชิง แล้วยังจะมีเรื่องอะไรไม่กล้าทำอีก แม่บ้านเหล่านั้นพากันปิดปากเงียบไม่กล้าส่งเสียง
“ถ้าทุกท่านไม่เชื่อก็ลองดูได้ ข้าคนที่ยมบาลยังปฏิเสธมาถึงสองครั้ง ไม่รังเกียจที่จะพาพวกท่านลงนรกไปสนทนากับยมบาลด้วยกัน ดูว่าถึงตอนนั้นยมบาลจะปล่อยใครกลับมา”
พอเอ่ยถึงยมบาล คนทั้งรถต่างขนลุกชัน พากันสั่นศีรษะแรงๆ ใครกล้าสร้างความยุ่งยากให้คนสกุลเหมย ไยมิใช่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวหรอกหรือ
ตลอดทางหลังจากนั้น แม่บ้านทุกคนในรถเทียมวัวต่างไม่กล้าส่งเสียงสักคำ
คนที่เบิกบานใจที่สุด พูดมากที่สุดไม่มีใครเกินเหมยชิงหยวนที่นั่งอยู่ตรงกลาง เขาถือห่อขนมหวานกินอย่างสบายใจ ทั้งยังแบ่งขนมให้พี่สาวน้องชายคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ อายุไล่เลี่ยกันกับเขา
ทำให้แม่บ้านหลายคนเห็นแล้วอยากจะได้บ้าง ขนมหวานเชียวนา ถ้าแบ่งให้พวกนางสักชิ้นเอากลับไปล่อหลอกลูกที่บ้านจะดีเพียงใด ต้องโทษหลินซื่อ ไม่มีเรื่องหาเรื่อง ทำให้พวกนางถูกนางหนูสกุลเหมยผูกใจเจ็บแค้นไปด้วย ไปหายมบาลหรือ น่ากลัวยิ่งนัก!
พอรถเทียมวัวมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รถยังไม่ทันจอดดีคนทั้งรถก็ตะลีตะลานคว้าข้าวของของตนกระโดดลงจากรถทันที แต่ละคนแยกย้ายกันไปด้วยความรวดเร็ว ราวกับวัวที่ลากจูงรถมาติดโรคห่าเช่นนั้น
จย่าอิ๋งชุนย่นหัวคิ้วมองคนในหมู่บ้านที่พากันหนีเตลิดเปิดเปิง แต่ละคนทำท่าราวกับเจอภูตผีปีศาจ ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิบุตรสาวเสียงต่ำ “หรูเอ๋อร์ เจ้าถึงวัยที่จะต้องเจรจาเรื่องหมั้นหมายแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ไยมิใช่ทำลายชื่อเสียงตนเอง ต่อไปจะมีใครกล้ามาเจรจาสู่ขอ”
“ไม่มีใครกล้ามาดีที่สุด ข้าหาได้คิดจะออกเรือนกับใคร ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เหมยหรูเซียนยกหลัวไม้ไผ่ขึ้นมาแบกให้ดี หน้าตาไม่แยแสสนใจ บีบๆ แก้มนุ่มนิ่มน่ารักของเหมยชิงหยวนที่มีเนื้อมีหนังขึ้นมาจากการบำรุงด้วยผลไม้และน้ำผึ้งเซียนที่นางเอามาจากในพื้นที่ลับ “ข้าเพียงต้องการดูแลท่านกับหยวนเอ๋อร์ให้ดี ได้เห็นหยวนเอ๋อร์แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรก็พอแล้ว”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า บุรุษเติบใหญ่ต้องแต่งภรรยา สตรีเติบใหญ่ก็ต้องออกเรือน…” จย่าอิ๋งชุนยังอยากจะพูดอะไรอีกเล็กน้อย กลับเห็นจย่าเอ้อร์หลางเดินออกมาจากในหมู่บ้านแต่ไกล นางรีบยับยั้งคำพูดที่ยังไม่ได้ออกจากปาก
“โอ นี่ไม่ใช่น้องสาวที่เป็นม่ายของข้ากับหลานสาวที่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกหรอกหรือ” จย่าเอ้อร์หลางพูดจาเย้ยหยันทีเล่นทีจริง
จย่าเอ้อร์หลางผู้นี้เห็นว่าวิกฤตการณ์คลี่คลายลงแล้วก็กลับเข้าหมู่บ้านมาอย่างสง่าผ่าเผย ทุกวันฉวยโอกาสช่วงว่างจากงานในไร่นาเที่ยวเล่นไปทั่วหมู่บ้าน ยังถือโอกาสไปประสมโรงกินข้าวกับคนงานที่กำลังสร้างบ้านอยู่หลายครั้งหลายหน