เหมยหรูเซียนไม่คิดจะใส่ใจเขา นางจูงแม่กับน้องชายจะเดินจากไป คิดไม่ถึงว่าจย่าเอ้อร์หลางถึงกับขวางทางไปของพวกนางไว้…
“อย่างไร ถูกไล่ออกจากบ้านสกุลจย่าก็ไม่รู้จักข้าลุงรองคนนี้แล้วหรือ”
ได้ยินเช่นนั้น เหมยหรูเซียนจึงพูดอย่างปากคมคารมกล้าทันที “ท่านลุงผู้นี้ ขออภัยด้วย คนในวงศ์สกุลเราห้าชั่วคนล้วนตายหมดแล้ว ไม่มีญาติเช่นท่าน”
จย่าเอ้อร์หลางตวาดด้วยความโมโห “เจ้าเด็กหน้าเหม็นถึงกับกล้าแช่งครอบครัวท่านตาของเจ้า!”
“ข้ามีท่านตาด้วยหรือ ข้ายังเข้าใจว่าท่านแม่ของข้าโผล่ออกมาจากก้อนหินเสียอีก”
คนในหมู่บ้านที่เดินผ่านมาได้ยินแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้
คำพูดนี้ทำเอาจย่าเอ้อร์หลางอึกอักพูดอะไรไม่ออก มุมปากกระตุกค้างไปสองทีแล้วจึงว่า “นางหนูหรูยังโกรธเรื่องนั้นอยู่หรือ ภายหลังไม่ใช่ไม่มีอะไรแล้วหรือ”
เหมยหรูเซียนเหลือกตาขึ้น “ข้าไม่รังเกียจที่จะไปตำบลอีกครั้ง บอกหลงจู๊เกาแห่งหอสุราเจินซิวว่าท่านกลับมาแล้ว ให้เขามาตามทวงเงินสามสิบตำลึงนั่นจากท่าน”
“ที่ข้าทำไปไม่ใช่เพราะหวังดีกับเจ้าและแม่ของเจ้าหรือไร อย่ามองไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่นเช่นนั้น หากเจ้าไตร่ตรองให้ดีก็จะรู้ว่าขอเพียงเจ้าแต่งไป แม่ของเจ้าก็จะได้เสพสุข”
เหมยหรูเซียนไม่เคยเห็นใครหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน นางพูดเหน็บแนมขึ้น “ข้าถูกท่านขายแล้ว ท่านแม่ของข้านอกจากไม่ได้เงินแม้แต่อีแปะเดียว ยังต้องทำงานเป็นวัวเป็นม้าให้ที่บ้านท่าน เสพสุขเกรงว่าคงมีแต่พวกท่านทั้งบ้านกระมัง”
ปากทางเข้าหมู่บ้านมีคนเดินผ่านไปผ่านมา คำสนทนาที่ไม่ใช่เรื่องดีระหว่างพวกเขาก็ดังไปถึงหูคนในหมู่บ้านบางคน เหมยหรูเซียนไม่ใส่ใจว่าชื่อเสียงของตนจะยิ่งแย่ลง จึงเปิดโปงเรื่องสกปรกที่บ้านสกุลจย่าอยากจะปกปิดออกมาต่อหน้าคนในหมู่บ้านที่เดินผ่านมาอย่างไม่เกรงใจ
“นางหนูหรู เจ้าพูดอะไรออกมา ข้าลุงรองของเจ้าเป็นคนแบบนั้นหรือ ข้าจะอมเงินขายตัวของเจ้าหรือ” แม้จะเป็นเรื่องจริง จย่าเอ้อร์หลางกลับยังคงพยายามปฏิเสธ
นางแค่นหัวเราะอย่างดูแคลนออกมาคำหนึ่ง “ไม่อม ยังไม่พูดถึงว่าข้ายังไม่สิ้นลม ท่านกับภรรยาของท่านก็ร่วมมือกันวางแผนจะขายข้าให้คหบดีซุนที่ตำบลเพื่อเงินหนึ่งร้อยตำลึง ให้ไปเข้าพิธีแต่งงานระหว่างคนตายกับบุตรชายที่เพิ่งตายลงของเขา มาถึงครั้งนี้ท่านจะขายข้าเข้าเมืองหลวงเพื่อไปแต่งงานแก้ดวงให้ผู้อื่น หลงจู๊เกาให้เงินมัดจำท่านมาสามสิบตำลึง เหตุใดท่านจึงไม่ได้เอาให้ท่านแม่ข้าแม้แต่อีแปะเดียว กลับยึดไว้เอง และไม่เห็นท่านเคยปรึกษากับท่านแม่ของข้า ตอนหลงจู๊เกามาถึงบ้านท่านก็หลบหน้าไม่เห็นแม้เงา จย่าเอ้อร์หลาง ท่านมีเจตนาเช่นไรพวกเรากระจ่างแก่ใจดี อย่าเห็นข้ากับท่านแม่เป็นคนโง่อีกเลย!”
เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านสกุลจย่าในระยะนี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านต้าเคิงต่างพอรู้มาบ้าง แต่ไม่ชัดเจนนัก เพียงรู้ว่าจย่าอิ๋งชุนก่อเรื่องทำให้ตาเฒ่าจย่าเซ่อโกรธ ถูกขับไล่ต้องแบกลูกสาวพาลูกชายออกจากบ้านแม่ ที่แท้เบื้องหลังเป็นเช่นนี้เอง!
จย่าเอ้อร์หลางทั้งบ้านล้วนไม่ใช่คน ก่อนหน้านี้ก็จะขายครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่สำเร็จ เหมยหรูเซียนตายไปครั้งหนึ่งแล้วลำบากไม่น้อยกว่าจะฟื้นคืนชีวิตมาได้ ทว่าถึงกับคิดจะขายนางเป็นครั้งที่สอง คนบ้านนั้นสูญสิ้นจิตสำนึกรู้ชั่วดีกันแล้วหรือไร เสียแรงที่นางหนูสกุลเหมยนั่นยังเรียกตาเฒ่าจย่าว่าท่านตา เรียกจย่าเอ้อร์หลางสองผัวเมียว่าท่านลุงรอง ท่านป้าสะใภ้รอง
จย่าเอ้อร์หลางเห็นคนในหมู่บ้านเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เขาก็รู้สึกอับอายและพานโกรธ หันไปตวาดใส่ชาวบ้านที่ยืนชมเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ “มองอะไร สตรีเดิมก็เป็นสินค้าขาดทุนอยู่แล้ว อิ๋งชุนพาเด็กสมควรตายสองคนนี้กลับมา กินข้าวบ้านจย่าเราไปเท่าไร ในเมื่อตายก็คือตาย มีโอกาสดีเช่นนี้ หรือนางไม่ควรใช้ลมหายใจสุดท้ายของนางมาตอบแทนเล่า”
เหมยหรูเซียนได้ยินคำพูดนี้เพลิงโทสะก็พวยพุ่งขึ้นมาทันที นางลอบท่องอาคมคำสาปแช่งให้โชคร้ายอยู่ในใจ นิ้วมือที่ซุกอยู่ในแขนเสื้องอขึ้นมาประกบกัน รวบรวมพลังวิเศษเป็นประกายแสงสีเทากลุ่มหนึ่ง ฉวยจังหวะที่ทุกคนไม่สนใจดีดใส่จย่าเอ้อร์หลาง
จย่าเอ้อร์หลางพลันรู้สึกคล้ายมีกระแสไฟซัดมาถูกร่างสั่นสะท้านไปวูบหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าจู่ๆ ก็ใจคอหดหู่กลัดกลุ้มขึ้นมา
เหมยหรูเซียนมองจย่าเอ้อร์หลางที่ถูกหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งแผ่คลุมร่างด้วยความพอใจ แต่ไรมานางก็ยึดมั่นในหลักการที่ว่าคนอื่นไม่รุกรานข้าก่อน ข้าก็ไม่รุกรานใคร ถ้าคนอื่นข่มเหงข้า ข้าย่อมชดใช้คืนสิบเท่า ดังนั้นการเผชิญหน้ากับจย่าเอ้อร์หลางในครั้งนี้ นางจึงไม่ยั้งมือไว้ไมตรีแม้แต่น้อย สาปแช่งชนิดเต็มสิบส่วน ให้เขาถูกความโชคร้ายรุมเร้าร่างกายไปหนึ่งปี
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ คนสกุลจย่าที่เคยข่มเหงมารดาและน้องชายของนาง นางจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว ความโชคร้ายของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น…