บทที่เจ็ด
แม้จะเพิ่งย่างเข้าฤดูร้อน แต่ความร้อนแผดเผาของดวงอาทิตย์ไม่อาจดูเบาได้ ขอเพียงก้าวเท้าออกจากบ้าน ร่างทั้งร่างก็คล้ายจะหลอมละลายเช่นนั้น ทำให้คนแทบอยากจะซุกตัวอยู่ในที่ร่มตลอดเวลา
พวกเหมยหรูเซียนอาศัยอยู่ในศาลเทพแห่งขุนเขาที่ผุพัง เนื่องจากมีช่องมีรูอยู่ทั่วทุกแห่ง ทุกครั้งที่มีลมพวกนางก็จะรู้สึกได้ แต่อากาศวันนี้ออกจะแปลก ทั่วทั้งป่าถึงกับไม่มีลมสักนิดเดียว
นางยืนอยู่หน้าประตูมองป่าที่อยู่เบื้องหน้าผืนนั้น ในใจมีความรู้สึกแปลกประหลาดบอกไม่ถูก อยากจะเข้าไปที่ในป่า
จย่าอิ๋งชุนทางหนึ่งพัดวีให้บุตรชายที่นอนกลางวัน ทางหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้น “หรูเอ๋อร์ อากาศร้อน เจ้าก็อย่าออกไปเลย ประเดี๋ยวหยวนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาเราก็ผ่าแตงโมมากินคลายร้อนกัน”
“ท่านแม่ ช่วงนี้อากาศแปลกเสียจริง บนภูเขาไม่มีลมแม้แต่น้อย ตามเหตุผลไม่ควรเป็นเช่นนี้…” อากาศเช่นนี้ทำให้เหมยหรูเซียนรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก
“น่ากลัวจะเป็นอากาศช่วงก่อนฝนจะตกหนัก” จย่าอิ๋งชุนพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจ
“ฝนตกหนัก?”
“ใช่ แม่จำได้ดี สมัยเด็กมีอยู่ปีหนึ่งอากาศก็เป็นเช่นนี้ติดต่อกันอยู่เดือนหนึ่ง พื้นดินแห้งแตกแล้ว แต่ในค่ำคืนที่แปลกประหลาดมากคืนหนึ่ง จู่ๆ ก็มีฝนเทลงมาอย่างหนัก ตกติดต่อกันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน น้ำไหลบ่าลงมาจากภูเขา ปีนั้นมีคนตายไปไม่น้อย…” จย่าอิ๋งชุนเอ่ยด้วยความวิตกกังวลอย่างมาก
เหมยหรูเซียนย่นหัวคิ้ว “น้ำไหลบ่าลงมาจากภูเขาหรือ ท่านแม่ แล้วหมู่บ้านต้าเคิงเราไม่เป็นไรกระมัง” ดูท่าหน่ออ่อนต้นหม่อนที่นางเตรียมไว้สำหรับปลูก ในระยะอันใกล้นี้คงยังปลูกไม่ได้ เกิดเจอฝนตกหนักหรือดินหินไหลลงมาคงแย่แน่
“ดีที่สวรรค์คุ้มครอง หมู่บ้านต้าเคิงเรานอกจากมีบ้านหลายหลังพังเพราะถูกน้ำท่วมแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เป็นไร”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” บ้านใหม่ของพวกนางแม้จะอยู่ตีนเขา แต่ที่นั่นชัยภูมิดี ต่อให้มีน้ำไหลบ่าลงมาจากภูเขาก็ไม่ไหลทะลักไปถึงหน้าประตูบ้าน
“หรูเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นหรอก” จย่าอิ๋งชุนเห็นสีหน้าบุตรสาวไม่ค่อยดีนัก จึงรีบกล่าวปลอบใจ
“ข้ารู้” เหมยหรูเซียนเดินมาถึงมุมกำแพงหยิบหลัวไม้ไผ่ขึ้นมา เพราะรู้สึกกระสับกระส่ายใจคอไม่สงบอยู่ตลอดเวลาจึงตัดสินใจจะออกไปดูๆ สักหน่อย “ท่านแม่ ข้าจะเข้าไปในป่าขุดหาผักป่า อยู่บ้านอึดอัดบอกไม่ถูก หยวนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาพวกท่านก็กินแตงโมก่อนเถิด ไม่ต้องรอข้า”
“เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวหน่อย ถ้าขุดไม่ได้ก็ไม่ต้องขุด มื้อค่ำเราเอาเปลือกแตงโมหมักเกลือใช้แทนผักก็เหมือนกัน”
“ได้ ข้ารู้แล้ว” เหมยหรูเซียนพยักหน้ารับคำแล้วออกประตูไป
นางสาวเท้าเร็วๆ เดินลึกเข้าไปไม่หยุดโดยอาศัยสัญชาตญาณ ระหว่างทางเห็นผักป่าไม่น้อย นางอยากจะหยุดลงมาเก็บ ทว่าความรู้สึกกระสับกระส่ายขุมนั้นเร่งเร้านางให้เดินไปข้างหน้าอยู่ตลอด
เหมยหรูเซียนเดินตามสัญชาตญาณมาถึงป่าอีกแถบหนึ่ง ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แหงนหน้าขึ้นหอบหายใจ หยิบถุงหนังใส่น้ำที่ห้อยอยู่ตรงเอวขึ้นมา พบว่าน้ำที่อยู่ในถุงหนังถูกนางดื่มหมดแล้ว กำลังคิดจะเข้าไปเอาน้ำในพื้นที่ลับ หูกลับได้ยินเสียงสายน้ำไหล นางเลิกคิ้วน้อยๆ เดินตามเสียงไป หลังจากแหวกพุ่มไม้เตี้ยพุ่มหนึ่งออกก็เห็นที่ใต้เนินด้านล่างมีลำธารใสสะอาดอยู่สายหนึ่ง
ทั้งที่นางเข้าไปเอาน้ำในพื้นที่ลับได้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร วันนี้นางไม่คิดจะเข้าไปในพื้นที่ลับ เท้าขยับก้าวไปที่ลำธารเล็กสายนั้นอย่างไม่อยู่ในการควบคุม
มาถึงข้างลำธาร นางวักน้ำในลำธารที่เย็นชื่นใจขึ้นมาล้างหน้าก่อนแล้ววักดื่มไปอึกหนึ่ง ทั้งร่างรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก จากนั้นก็หมุนตัวไปนั่งบนหินใหญ่ก้อนหนึ่งกลางลำธาร ถอดรองเท้าเอาเท้าจุ่มลงไปในน้ำ
ขณะที่นางกวาดสายตามองป่าแห่งนี้ไปรอบๆ อยู่นั้น หางตาก็เหลือบไปเห็นในที่ไม่ไกลออกไปมีสีสันบางอย่างที่ไม่ควรปรากฏอยู่ในลำธารสายนี้
หัวใจของนางพลันบีบรัดขึ้นวาบหนึ่ง รีบสวมรองเท้า หัวคิ้วเรียวงามขมวดมุ่นน้อยๆ ค่อยๆ ย่องทวนน้ำขึ้นไป คิดจะไปดูให้รู้แน่ชัด
เหมยหรูเซียนแหวกพุ่มไม้เตี้ยออกเป็นชั้นๆ แล้วก็พบบุรุษสวมชุดดำผู้หนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ที่ริมลำธาร ร่างครึ่งหนึ่งแช่อยู่ในน้ำ
นางตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปจับร่างเขาพลิกขึ้นมา ตบๆ แก้มเขาแล้วร้องเรียก “นี่ ท่านไม่เป็นไรกระมัง ท่านรีบตื่นขึ้นมา!”
ประหลาดยิ่งนัก เหตุใดจึงมีบุรุษมานอนหมดสติอยู่ที่นี่ได้ การแต่งตัวของเขาไม่คล้ายเป็นนายพราน อีกทั้งใบหน้าของเขาเหตุใดจึงดูดำคล้ำ
เหมยหรูเซียนมองสำรวจไปทั่วร่างบุรุษผู้นี้ พบว่าที่ข้อเท้าของเขามีรอยโลหิตอยู่รอยหนึ่ง โลหิตไหลซึมออกมาจากบาดแผลไม่หยุด นางยื่นมือไปแตะดู พบว่าโลหิตของบุรุษที่หมดสติอยู่ถึงกับเป็นสีดำ
หรือจะถูกพิษ!