เมื่อครู่ขณะสติยังเลือนรางเขาได้กลิ่นหอมจรุงใจอ่อนๆ ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนขุมหนึ่ง กลิ่นหอมขุมนี้บางเบามาก ไม่ตั้งใจสูดดมอย่างละเอียดก็จะไม่ได้กลิ่นหอมจางๆ นั่น แต่ก็คล้ายอ้อยอิ่งอยู่รอบจมูก ได้กลิ่นแล้วสบายใจ ทำให้คนรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก
เขาอยากจะลืมตา แต่หนังตาที่หนักอึ้งทำให้เขาทำอย่างไรก็ลืมตาไม่ขึ้น พอขยับแขนขาเล็กน้อย ความเจ็บปวดราวเนื้อหนังจะฉีกขาดก็พุ่งขึ้นมาจากข้อเท้า เจ็บจนเขาต้องสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ สมองพลันนึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดกับตนขึ้นมาได้
หมูป่า กับดักสัตว์…
มีเสียงคนเดินดังขึ้นมาที่ข้างเท้า ขัดจังหวะกระบวนความคิดของเขา รับรู้ได้ว่ามีคนพยุงเขาขึ้นมา ป้อนของเหลวกลิ่นหอมกรุ่นคล้ายน้ำหวานและก็คล้ายน้ำผึ้งให้เขาดื่มลงไปคำหนึ่ง ของสิ่งนั้นพอลงคอ สติของเขาก็ฟื้นคืนมาทั้งร่าง
พริบตาที่เขาลืมตาขึ้นมา กลิ่นหอมจรุงใจแปลกประหลาดที่อ้อยอิ่งอยู่รอบจมูกขุมนั้นก็หายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือกลิ่นหอมของป่า
เปล่งเสียงออกมาได้แล้วคงไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง
เหมยหรูเซียนถือถุงหนังที่ใส่น้ำจากน้ำพุอยู่ในมือพลางกล่าว “มา ดื่มน้ำคำหนึ่ง ท่านจะได้สบายขึ้น”
น้ำพุเย็นชื่นใจจากในพื้นที่ลับพอดื่มลงคอ สติของฝูจิ่งเซิงก็แจ่มกระจ่างขึ้นมา “ลำบากเจ้าแล้ว แม่นาง…”
“จริงสิ เหตุใดท่านจึงไปเหยียบกับดักเข้าได้”
“ข้ากับญาติผู้พี่เดินทางจากหมู่บ้านที่ชื่อว่าหนานเคิงมาภูเขาลูกนี้เพื่อจะหาคน” พวกเขาได้รับข่าวว่าหญิงทอผ้าที่ทอผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ ครั้นแล้วเขากับไจ๋หนานเซิงญาติผู้พี่จึงมาตามหาหญิงทอผ้าผู้นั้นด้วยกัน แต่หลังจากมาถึงป่าแถบนี้ กลับหาอย่างไรก็หาไม่พบ จึงแยกกันหากับญาติผู้พี่
ทั้งสองคนแยกย้ายกันได้ไม่นาน หมูป่าตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในป่าลึก เพราะจะหลบหมูป่าตัวนั้น เขาไม่ทันระวังเหยียบพลาดไปถูกกับดักเข้า จากนั้นก็ล้มลงไปที่ข้างลำธารทั้งร่าง…
นัยน์ตาที่หรี่เล็กน้อยของนางพลันเบิกกว้าง อุทานเสียงต่ำ “หนานเคิง ที่นั่นอยู่ห่างจากหมู่บ้านต้าเคิงเราไกลโขทีเดียว!”
“เราเดินอยู่บนเขาเป็นระยะเวลานานทีเดียว” ฝูจิ่งเซิงรู้สึกว่าพละกำลังฟื้นคืนมาไม่น้อยแล้ว จึงประคองตัวลุกขึ้นมานั่ง
เขาลอบมองดวงหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของเหมยหรูเซียน ส่วนลึกในใจอดรู้สึกฉงนสนเท่ห์และงงงวยไม่ได้ ดวงตาเฉลียวฉลาดคู่นั้นของหญิงสาวผู้นี้ เหตุใดจึงคล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน
“จริงสิ ท่านรู้หรือไม่กับดักที่ท่านเหยียบถูกนั่นมีพิษ” เหมยหรูเซียนพยุงเขาให้พิงต้นไม้ แล้วยื่นถุงหนังใส่น้ำให้เขา “ดื่มน้ำอีกสักหน่อย ดีต่อร่างกายท่าน”
“พิษหรือ” เขาเพิ่งเอาถุงหนังขึ้นจ่อปากก็พลันชะงักค้าง กับดักสัตว์ทั่วไปเหตุใดจึงฉาบพิษไว้ เช่นนี้สัตว์ที่ล่าได้จะนำมากินได้อย่างไร
ฉับพลันนั้นภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขา เร็วจนเขาแทบจับภาพไม่ทัน เขาหรี่นัยน์ตาลง แววตาเปลี่ยนเป็นดุดันอย่างที่สุด ดูเหมือน…ข้างกายเขาจะมีคนที่นิสัยโฉดชั่วเหมือนหมาป่าอยู่…
นางพยักหน้า “ใช่ ตอนที่ข้าพบท่าน เท้าของท่านบวมราวกับกีบเท้าหมู ทั้งยังดำคล้ำอีกด้วย ยังดีที่ท่านมาเจอข้า บนภูเขาแห่งนี้มีงูพิษอยู่มาก ข้าพกยาเม็ดถอนพิษร้อยแปดติดตัว สามารถถอนพิษได้ทุกอย่าง หาไม่ชีวิตของท่านคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว” นางปั้นเรื่องขึ้นมาเพื่อจะให้เรื่องที่ช่วยเขาถอนพิษฟังดูน่าเชื่อถือ
เขาเก็บงำประกายตาที่คมกริบพลางประสานมือคารวะ “บุญคุณที่ช่วยชีวิตของแม่นาง วันหน้าผู้แซ่ฝูจะต้องตอบแทนแน่นอน”
“ตอบแทน? ได้สิ มอบกายถวายตัวแบบนั้นไม่ต้อง แต่ท่านสามารถตอบแทนข้าด้วยเงินหรือทองคำสักจำนวน ของเหล่านี้สำหรับข้าแล้วดูเป็นจริงมากกว่า” นางก็ไม่เกรงใจ พูดออกมาตรงๆ อย่างเปิดเผยด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม
ฝูจิ่งเซิงชะงักอึ้งไปชั่วขณะ
แม่นางผู้นี้…เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรใช้คำบรรยายว่าอย่างไร แต่ก็เพราะคำพูดประโยคนี้ของนาง พายุที่ก่อตัวขึ้นมาในใจของเขาจึงสลายหายไปไม่เหลือร่องรอยในทันที