นับนิรันดร์เลิกคิ้ว มองมือเรียวที่บีบท่อนแขนเขาจนแน่น ระยะห่างแสนใกล้ชิดทำให้เห็นกลีบปากสั่นระริก ไม่…ไม่ใช่แค่ปากเธอที่สั่น แต่กลับเป็นร่างทั้งร่างเลยต่างหาก และเมื่อจิรปริยาหันกลับมามองเขา ดวงตาคู่นั้นก็เหม่อค้าง ถามออกมาทั้งที่สติยังจดจ่ออยู่กับบางอย่าง ความที่แขนของเขาโอบรอบลำตัวช่วงบนของเธอจึงสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นกระหน่ำแรง
“วันนี้…วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ปี…ไหน”
นัยน์ตาสีอำพันหลุบมองสีหน้าตื่นตระหนกของภรรยา ระบายลมหายใจหนักอึ้ง ริมฝีปากบางบอกวันเดือนปีออกไปอย่างชัดเจน แน่นอนว่ามันตรงกับที่พิธีกรชายเพิ่งเอ่ยไป และคนฟังก็ทวนข้อมูลนั้นด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ไม่นาน…ใบหน้าซีดก็สะบัดไปมา ริมฝีปากบิดเบ้ หลั่งน้ำตาออกมาอีกระลอกใหญ่
“ไม่…ไม่จริง โกหก! คุณโกหก! เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!”
หญิงสาวกรีดร้อง ร่างเพรียวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ปฏิเสธทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ปฏิเสธ…ว่าตอนนี้เธออยู่ในช่วงเวลาที่ห่างจากปัจจุบันถึงสิบสองปีเต็ม!
เฮือก!
ดวงตาสีนิลเบิกกว้าง แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงด้วยอัตรากระชั้นถี่ สิ่งแรกที่เธอทำคือหันใบหน้าไปทางขวาและเมื่อพบกระจกเงาบานใหญ่ จิรปริยาก็แทบร้องไห้ออกมา
หญิงสาวกัดริมฝีปาก ก้าวขาลงจากเตียง ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของตัวเองบนกระจก
“ฝัน…เมื่อกี้…แค่ฝันไป…”
ลมหายใจพรูออกอย่างโล่งอก ขณะที่เธอกำลังยินดีกับการที่ได้กลับมาอยู่ในห้องของตัวเอง และอนาคตซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยลูกและสามีเป็นเพียงภาพฝัน จิรปริยากลับได้ยินเสียงคล้ายนาฬิกาปลุกกรีดร้องแว่วเข้ามาในหู ร่างเพรียวหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาสมาร์ตโฟนที่เธอตั้งปลุกไว้อยู่ทุกวัน ทว่าก่อนที่จะหาเจอก็ราวกับว่าโลกทั้งถูกฉีกกระชาก มือบางพยายามยึดเกาะหัวเตียงไว้แน่น ริมฝีปากกรีดร้องด้วยความตกใจ
“กรี๊ดดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องของคนที่หลับสนิทไปเพราะฤทธิ์ยาทำให้กันตกาลซึ่งอาสาไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกในสมาร์ตโฟนถึงกับสะดุ้ง เด็กชายเบิกตากว้าง สองขาวิ่งกลับไปเกาะขอบเตียงคนไข้สีหน้าตื่น
“หม่ามี้! ปาป๊า…หม่ามี้เป็นอะไร”
นับนิรันดร์ที่มือข้างหนึ่งวางบนหน้าผากชื้นเหงื่อ เขาส่ายหน้าเบาๆ ขณะกำลังจะตอบหางตาก็เห็นภรรยาเบิกตากว้าง หอบหายใจถี่เหมือนคนวิ่งมาสักสิบกิโลเมตร
“แด ใจเย็นๆ นะแด ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”
ชายหนุ่มคว้าเอาร่างเพรียวมากอดไว้แนบอก หวังปลอบโยนให้คนที่คงจะฝันร้ายรู้สึกดีขึ้นเหมือนทุกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าสัมผัสจากเลือดเนื้อของเขานั่นแหละคือฝันร้ายสำหรับเธอ
แวบแรกจิรปริยายังมึนงงเกินกว่าจะจับต้นชนปลายถูก ดวงตาสีนิลเหม่อลอยไร้จุดโฟกัส กระทั่งถูกดึงไปอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง ใบหน้าซีกขวาฝังอยู่บนแผ่นอกกว้าง เสียงสะท้อนของหัวใจอีกดวงกระทบโสตประสาท ปลุกสติสัมปชัญญะให้ตื่นตัว
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังร้อนวาบจากอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งส่งผลกระทบกับการทำงานส่วนอื่นของร่างกาย ทว่าเมื่อรับรู้ได้ชัดเจนว่าเธอกลับมาอยู่ในโลกที่มีทั้งลูกและสามีแล้วจริงๆ จิรปริยาก็รู้สึกว่าทั้งร่างชาวูบ ตั้งแต่หัวจดเท้าหนาวยะเยือกไร้เรี่ยวแรงเหมือนโดนไอซ์บักเก็ตมาหมาดๆ
“แด?” อาการนิ่งงันของคนในอ้อมแขนไม่พ้นสายตานับนิรันดร์ ชายหนุ่มผละออกจากร่างเพรียวระหงที่สั่นน้อยๆ นัยน์ตาสีอำพันหลุบมองหญิงสาวยกมือซ้ายขึ้นมอง ดวงตาสีนิลของเธอจับจ้องไปยังเครื่องประดับชิ้นสำคัญซึ่งตลอดชีวิตยี่สิบสองปีในความทรงจำไม่เคยมีมันอยู่
สุดโคนนิ้วนางข้างซ้ายซึ่งเคยว่างเปล่า แหวนวงหนึ่งแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น การพลิกหลังมือขึ้นมาในระดับสายตาทำให้เห็นเพชรเม็ดงามฝังตัวอยู่กึ่งกลางเครื่องหมายอินฟินิตี้
หญิงสาวหลับตา พรูลมหายใจช้าๆ น้ำตาเม็ดเล็กไหลรินลงมาเงียบๆ
จริงๆ หรือ…
เรื่องราวในตอนนี้…ฝันร้ายในตอนนี้…
…มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น.