ในภาวะที่ตกใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น หญิงสาวพลันนึกไปถึงพล็อตนิยายยอดฮิตในช่วงปีสุดท้ายในความทรงจำ นางเอกทั้งหลายพากันประสบอุบัติเหตุ เดินทางก้าวข้ามกาลเวลาไปยังอดีตกาลเพื่อพบรักกับใครบางคน เธอพยายามนึกว่าบรรดานางเอกทำอย่างไรกันบ้าง มีใครปฏิเสธเรื่องที่เกิดขึ้นและพยายามกลับไปยังโลกของตัวเองเหมือนเธอบ้างไหม พวกหล่อนเหล่านั้นใช้เวลานานหรือเปล่าในการทำใจยอมรับทุกอย่าง และที่สำคัญที่สุด…
จิรปริยาหัวเราะให้กับโชคชะตาของตัวเอง
มันดูเหมือนตลกร้ายเมื่อนางเอกคนอื่นเขาทะลุมิติกลับไปในอดีตกัน มีเพียงแค่เธอเท่านั้น…ที่ทะลึ่งก้าวพุ่งมาสู่อนาคต
มือเรียวแตะใบหน้าแผ่วเบา ภาพสะท้อนจากกระจกในห้องน้ำโรงพยาบาลยังชัดเจนในหัว
…แถมยังเป็นอนาคตของ ‘ตัวเอง’ อีกต่างหาก!
นับนิรันดร์ยืนกอดอกพิงผนัง ดวงตาสีอำพันมองตัดผ่านประตูระเบียงไปยังร่างเพรียวที่ยืนนิ่งเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ ซึ่งเป็นท่าทางปกติของเธอตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาพร้อมความทรงจำที่ขาดหาย
เมื่อรู้ว่าจิรปริยาไม่เชื่อว่าชีวิตในตอนนี้คือความจริงและเธอจดจำเขาไม่ได้ คำพูดของเขาจึงไร้น้ำหนักให้เชื่อถือ นับนิรันดร์จำต้องหาพยานที่เธอรู้จัก เหล่าบุคคลซึ่งไม่ได้ถูกกระแสแห่งกาลเวลาพัดหายไปจากความทรงจำของเธอเหมือนเขา มาช่วยยืนยันว่าวันเวลาได้ผ่านไปสิบสองปีแล้วจริงๆ แน่นอนว่าบุคคลที่มีน้ำหนักในใจจิรปริยาที่สุดคือพ่อแม่ของเธอ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้พวกท่านอยู่ในช่วงเดินสายปฏิบัติธรรมที่ต่างประเทศ ไม่สามารถติดต่อไปรบกวนได้ ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่น เขาติดต่อไปยังเพื่อนสนิทของภรรยาและขอร้องกึ่งบังคับให้พวกหล่อนมายืนยันถึงโรงพยาบาล
หนุ่มหน้าสวยจำได้ว่าวินาทีแรกที่หญิงสาวสองคนก้าวเท้าเข้ามาในห้องพักฟื้นพร้อมเสียงดังเจื้อยแจ้วอันเป็นเอกลักษณ์ประจำกลุ่ม จิรปริยาซึ่งมีสีหน้าเหม่อลอยอมทุกข์อยู่ตลอดถึงกับหลุดยิ้มออกมา หากเมื่อเธอสังเกตเห็นใบหน้าและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของเพื่อนรักก็ผงะ ก่อนจะโพล่งออกมาเสียงดังลั่น
‘ทำไมพวกแกหน้าแก่เงี้ย’
ราวกับคำว่า ‘แก่’ เป็นสวิตช์ที่ทำให้สองสาวตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ ‘โศภิษฐา’ มัณฑนากรสาวเปรี้ยวในชุดจัมพ์สูทสีแดงเลือดนกขับผิวสีน้ำผึ้งจะแว้ดขึ้นเป็นคนแรก
‘อีแด! ตบปาก! กล้าดียังไงมาว่าพวกฉันแก่! ผู้หญิงอายุสามสิบสี่ที่ไม่ใช่ดาราหรือไฮโซแบบเข้าคลินิกไปให้หมอจิ้ม ฉีด ดึงเป็นว่าเล่น คงสภาพหนังหน้าไว้ได้แบบฉันนี่ถือว่าหน้าเด็กแล้วนะยะ!’
‘สามสิบสี่?!’
จิรปริยาพึมพำด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เธอตวัดสายตามองเขาซึ่งยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ตอนนี้เธอคงรู้ตัวแล้วว่าเพื่อนรักถูกเรียกมาเพื่อตอกย้ำความจริง แต่กระนั้นด้วยความเป็นเธอ…เป็นคนหัวรั้นที่เมื่อปักใจกับอะไรแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ และเชื่อมั่นในความคิดตัวเองสูง หญิงสาวจึงคอแข็ง เชิดหน้าเอ่ยประณามเสียงแหลม
‘ไม่จริง! แกโกหก!’ เธอว่าทั้งที่ยังจ้องหน้าเขาอยู่ ‘นี่คุณลงทุนเอาเพื่อนฉันมาช่วยกันโกหกเลยเหรอเนี่ย!’