ดวงตาสีน้ำตาลทองเปล่งประกายแวววาวจนคล้ายว่ากลายเป็นสีทองไปแล้วจริงๆ มุมปากระบายรอยยิ้มขณะใช้นิ้วเขี่ยปลายจมูกรั้นอย่างแกล้งๆ
“ไง ทำไมเงียบไปเลยล่ะ คิดว่าผมจะทำอะไรแดหรือไง”
เพราะเขาทับอยู่เหนือร่างของเธอ ชายหนุ่มจึงสัมผัสได้ถึงหัวใจดวงเล็กที่กระแทกขึ้นลงอย่างชัดเจน หนุ่มหน้าสวยหรี่ตา กำลังใคร่ครวญว่าควรจะ ‘แกล้ง’ ภรรยาต่อดีไหม หากเมื่อเห็นดวงตาสีนิลเริ่มมีน้ำใสเอ่อคลอขึ้นมาก็ส่ายหัว ยอมดันตัวลุกขึ้นมาแล้วเอื้อมมือไปจับข้อเท้าขวาของอีกฝ่ายแทน
“ข้อเท้าเจ็บอยู่แท้ๆ ยังจะไปยืนแบบนั้นอีก ไม่อยากหายหรือไง”
จิรปริยามองสามีที่จับข้อเท้าเธอพลิกไปพลิกมาก่อนจะลุกไปคว้ายานวดจากโรงพยาบาลมาละเลงบนข้อเท้าของเธอตาไม่กะพริบ เนิ่นนานกว่าสมองจะเริ่มประมวลผลเรียบเรียงเรื่องราวได้
เขา…เห็นเธอยืนอยู่กับพื้นเลยเป็นห่วงกลัวจะทิ้งน้ำหนักลงขาข้างที่เจ็บ ก็เลยอุ้มเธอมาไว้บนเตียงแทน…งั้นเหรอ
ยิ่งสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่อ่อนโยนเท่าไร ความรู้สึกหน้าแตกยับ อับอาย และรู้สึกผิดก็ยิ่งพุ่งทะลักขึ้นมาจนเต็มอก หญิงสาวหลุบตา ใบหน้าแดงซ่านเบือนหนีไปอีกทาง มองอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สามี
“เอ้า เสร็จแล้ว”
เสียงนุ่มลึกดังขึ้นพร้อมกับข้อเท้าขวาถูกปล่อยเป็นอิสระ จิรปริยากะพริบตาปริบ ชักขาขึ้นมายันตัวนั่ง หมอนใบโตที่เมื่อครู่ใช้เป็นอาวุธประทุษร้ายสามีถูกหยิบขึ้นมากอดแนบอก ซุกซ่อนใบหน้าแดงซ่านกว่าครึ่งไว้ด้านหลัง ส่วนชายหนุ่มหลังเดินไปล้างมือในห้องน้ำเสร็จก็ก้าวขึ้นเตียง จัดหมอนจัดผ้าห่มเหมือนเตรียมตัวจะเข้านอน
น่ะ…นอน นอนงั้นเหรอ! เดี๋ยวสิ! เธอยังไม่ได้ตัดสินใจเลยนะว่าคืนนี้จะนอนยังไง!
จิรปริยาเม้มปาก ใจเต้นตึกตัก พอเห็นร่างสูงทำท่าจะล้มตัวนอนก็รีบท้วงเสียงแหลม
“ดะ…เดี๋ยวก่อน! จะนอนเหรอ!”
เสียงแหลมข้างหูทำเอานับนิรันดร์ชะงัก ชายหนุ่มนิ่วหน้าก่อนหันไปมองภรรยา
“อือ ก็ใช่สิ ถึงจะแค่…” นัยน์ตาคมเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ก่อนเอ่ยบอกเวลา “สามทุ่ม…แต่ผมก็ง่วงแล้ว”
ไม่ว่าเปล่า ริมฝีปากบางยังหาวหวอดออกมาเป็นการยืนยัน