เหมียวเหมี่ยวปวดเศียรเวียนขมับ เธอต่อสายตรงถึงบรรณาธิการของลู่ซื่อเหวินฮว่าที่ดูแลงานของเธอเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ “พี่สวี่ รถคันนั้น…เป็นยังไงบ้างคะ”
“ยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถอยู่เลย เหมียวเหมียว ฉันว่าเธอรับเอาไว้เลยเถอะ” สวี่หลิงอวิ๋นตอบเธอ
เหมียวเหมี่ยวเลิกหน้าม้าของตัวเองขึ้น คุกเข่านั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟา น้ำตารื้นออกมา “พี่สวี่ นั่น…เฟอร์รารี่เลยนะ ฉันจะรับไว้ได้ยังไง ฉันเช็กราคารถคันนั้นแล้ว คันที่ถูกที่สุดก็สามล้านสี่เลยนะ พี่สวี่ ฉันกลัว!”
เสียงของสวี่หลิงอวิ๋นก็สั่นเช่นกัน “เหมียวเหมียว คิดว่าฉันไม่กลัวหรือไง เธอว่าอยู่ดีๆ จะมีคนส่งเฟอร์รารี่มาให้เราทำไม แถมยังส่งมาที่บริษัทอีก ตอนนี้ก็จอดเหมือนศาลเจ้าที่อยู่ในโรงจอดรถใต้ดิน กุญแจแขวนอยู่ที่ห้องทำงานของ บ.ก. ใหญ่ แถมคนส่งยังระบุว่าต้องให้เหมียวไก่ฉีกเป็นคนขับออกไปด้วย พวกเรากล้าแตะกันที่ไหนล่ะ น่ากลัวจะตาย”
“ให้ตายสิ เป็นอย่างนี้ได้ยังไง ฉัน…ฉันวาดการ์ตูนนี่ไปทั้งชีวิตก็ได้เงินไม่เท่ากับรถเฟอร์รารี่คันหนึ่งหรอกมั้ง…ทำไมต้องใช้วิธีนี้ส่งมาด้วยก็ไม่รู้” เหมียวเหมี่ยวแทบจะร้องไห้ “เจรจากับอีกฝ่ายได้มั้ยคะ ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของรถเหรอ”
“ไม่มี มีแค่ผู้ชายชุดดำหน้าตาหล่อๆ สวมแว่น เดินเอากุญแจขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ บ.ก. ใหญ่ แล้วก็เอารูปรถที่ถ่ายไว้ในมือถือให้เขาดู บอกว่า ‘ของขวัญชิ้นนี้มอบให้เหมียวไก่ฉีก กรุณาให้เหมียวไก่ฉีกมารับรถกลับไปด้วย’ ” สวี่หลิงอวิ๋นเลียนแบบน้ำเสียงได้คล้ายมากทีเดียว ทั้งท่าทางซื่อตรง พูดน้อย และเป็นทางการของอีกฝ่ายก็เก็บไว้ทุกเม็ด
เหมียวเหมี่ยวสงสัยมากๆ ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นพวกมีอิทธิพลมืด “รถนั่นจอดมาสามวันแล้ว…ฉันไม่ขับนะ ไม่เอาหรอก ใครจะรู้ว่าขับไปแล้วจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เธอลองคิดดูดีๆ คิดสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนไหนกันแน่”
เหมียวเหมี่ยวเคาะหัวตัวเองแล้วนึกย้อนกลับไป แทบจะทุบกะโหลกศีรษะตัวเองจนละเอียดก็ยังคิดไม่ออกว่าอะไรที่ทำให้เศรษฐีทุ่มเงินซื้อเฟอร์รารี่ 488 ให้เธอคันหนึ่ง จะว่าไปเธอก็ขับซูเปอร์คาร์ไม่ได้เสียด้วย ตอนนี้เหมียวเหมี่ยวไม่กล้าไปแม้กระทั่งออฟฟิศลู่ซื่อเหวินฮว่าด้วยซ้ำ แม้แต่เอกสารที่ต้องเซ็นในระยะนี้ก็ยังให้ไปรษณีย์ในเมืองส่งมาให้เซ็นถึงที่บ้าน
“ความจำของคนสมองปลาทองอย่างฉันน่ะ…จำอะไรไม่ได้จริงๆ” เหมียวเหมี่ยวถอนหายใจยาว “พี่สวี่ ฉันเสียดายรถคันนี้ ชาตินี้มันอาจต้องจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ดินไปตลอดก็ได้นะ”
สวี่หลิงอวิ๋นได้ไปดูรถคันนั้นมากับตาตัวเอง เธอจึงเสียดายยิ่งกว่าเหมียวเหมี่ยวเสียอีก “ไร้สาระสิ้นดีน่า ตัวรถสีแดงเพลิงทั้งคัน ไม่ต้องพูดเลยว่าสวยแค่ไหน บ.ก. ใหญ่แขวนกุญแจรถเอาไว้สูงเชียวล่ะ ใครก็ไม่กล้าเข้าไปแตะ น่าเสียดายจัง”
จู่ๆ สวี่หลิงอวิ๋นก็คิดอะไรได้จึงถามขึ้นว่า “เหมียวเหมียว ลองคิดดูซิว่าตอนที่เธอไลฟ์มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า”
เหมียวเหมี่ยวที่ไม่ได้ไลฟ์มาหนึ่งอาทิตย์แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาดู ขมวดคิ้วอยู่นานสองนาน จู่ๆ สมองก็กระจ่างขึ้นทันที ตื่นตระหนกไปทั้งตัว สติหลุดลอย
“แม่เจ้า! เหมือน…จะเป็นผลมาจากไลฟ์สดจริงๆ ด้วย”
ย้อนกลับไปหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้ บนเวยป๋อของเหมียวเหมี่ยวโพสต์บอกข่าวการไลฟ์สดเอาไว้ว่า
‘คืนนี้สองทุ่มครึ่งจะไลฟ์การสเก็ตช์ภาพตอนที่ 63 ของ ‘ผู้กล้าบุกอาณาจักรแมว’ ทุกคนช่วยกันจับตาดูให้ฉันทำเสร็จให้เร็วที่สุด อย่าให้แอบขี้เกียจได้นะคะ จุ๊บๆ’
โพสต์ไปไม่ถึงนาที ก็มีคนมาคอมเมนต์เกินร้อยแล้ว แฟนคลับในเวยป๋อของเหมียวเหมี่ยวมีอยู่ห้าแสนกว่าคน ถือได้ว่าเธอเป็นคนดังและมีชื่อเสียงในกลุ่มนักวาดระดับหนึ่ง คนที่รอการ์ตูนของเธออัพเดตตอนใหม่ก็มีมาก เพราะฉะนั้นไลฟ์ที่พวกเขาจะเห็นสปอยล์เนื้อเรื่องได้ ทำไมจะไม่ตามสนับสนุนล่ะ
คืนนั้นสองทุ่มยี่สิบห้านาที เหมียวเหมี่ยวเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ปรับหน้ากล้องให้อยู่ในมุมที่พอดี เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นมุมที่ใบหน้าเธอจะเล็กลงเมื่อออกกล้อง เธอก็ยกนิ้วเป็นรูปตัว ‘V’ ใส่หน้ากล้องอย่างหลงตัวเอง
เธอรวบผมตรงยาวประบ่าเป็นทรงดังโกะอย่างลวกๆ เหมียวเหมี่ยวสวมหน้ากากปิดปากรูปแมวเหมียวกับแว่นตากรอบสีดำ สองทุ่มครึ่งแล้ว ได้เวลาเริ่มไลฟ์สด
“สวัสดีค่ะ รอกันนานเลยนะคะ ไม่พูดมากละนะ ฉันจะเริ่มสเก็ตช์ภาพแล้ว เพื่อนๆ ที่มีการบ้าน รายงาน หรือว่ากำลังปั่นงานด่วนจี๋ก็พยายามไปด้วยกันนะคะ” เหมียวเหมี่ยวมักจะใช้คำพูดเปิดไลฟ์ด้วยน้ำเสียงให้กำลังใจก่อนทุกครั้งแล้วจึงเริ่มก้มหน้าก้มตาสเก็ตช์ภาพ
เหมียวเหมี่ยวมีคอมพิวเตอร์สองเครื่อง เครื่องหนึ่งใช้วาดรูป อีกเครื่องหนึ่งใช้เล่นเกมกับไลฟ์สด เธอเปิดหน้าต่างไลฟ์จอใหญ่เชื่อมกับกล้อง หน้าต่างเล็กเชื่อมกับเม้าส์ปากกา ดังนั้นคนดูจะสามารถมองเห็นเธอที่กำลังสเก็ตช์ภาพได้
จำนวนคนดูไลฟ์สดเริ่มจาก 0 แล้วพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 3,000 และ 4,000 สุดท้ายก็หยุดนิ่งอยู่ที่ประมาณ 6,000
เหมียวเหมี่ยวเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นครั้งคราว ทำให้เห็นคอมเมนต์ที่ไหลไปเรื่อยๆ