“ก็ได้ครับ” ฟางไหลหยางถูกสีหน้าของเธอหยอกเย้าจนหัวเราะออกมา “ตามใจคุณก็แล้วกัน เอาบัญชีให้ผมเร็วเข้าเถอะ”
น้ำเสียงฟางไหลหยางเจือด้วยความเอ็นดูที่ทำให้เธอเข้าใจผิด ใบหน้าเหมียวเหมี่ยวพลันร้อนฉ่าขึ้นทันที เธอก้มหน้าก้มตา เอ่ยด้วยเสียงเบา “คุณ…คุณเอามือถือมาสิคะ…ฉันจะสแกนคิวอาร์โค้ด…”
ฟางไหลหยางส่งเสียง “อืม” เบาๆ ออกมา แล้วส่งมือถือให้เหมียวเหมี่ยว เธอสแกนคิวอาร์โค้ดอย่างว่องไว จากนั้นก็มองนิ้วมือเรียวยาวสะอาดสะอ้านของฟางไหลหยางกดตัวเลขบนมือถือเพื่อโอนเงินเบาๆ แล้วก็ได้ยินเสียงมือถือของตัวเองสั่นเพราะได้รับแจ้งเตือน เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าศีรษะของเธอระเบิดดัง ‘ตู้ม’
เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ติดค้างเขาไว้มากเชียวล่ะ
ทำไมแฟนคลับผู้ร่ำรวยคนนี้ถึงได้ชื่นชอบเธอขนาดนี้นะ ส่วนเธอก็ช่างไม่มีน้ำจิตน้ำใจเอาเสียเลย! แล้วจะให้ไอดอลอย่างเหมียวเหมี่ยวเผชิญหน้ากับสายตาของแฟนคลับยังไงล่ะ
เหมียวเหมี่ยวได้แต่แบกความรู้สึกตำหนิตัวเองกลับไปที่บ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เหมียวเหมี่ยวก็เห็นว่าร้านก๋วยเตี๋ยวยังคงเปิดอยู่ หวงหรูหรูทำงานในวันหยุด เหมียวเหมี่ยวลูบไปยังบริเวณกระเพาะแล้วรู้สึกถึงความว่างเปล่า ตอนกลางวันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้กินอะไรสักเท่าไร
เธอลงจากรถ แบกเป้ปีนเขาเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยว
เมื่อหวงหรูหรูเห็นเหมียวเหมี่ยวในชุดนั้นก็ตกอกตกใจ กระโจนมายังข้างกายเธอเพื่อประเมิน “คนที่ไม่เคยออกกำลังกายอย่างเธอถึงกับขนาดใส่กางเกงกับรองเท้าออกกำลังกาย แล้วนี่เป้อะไรใหญ่โตขนาดนี้”
เจิ้งหลินเทียนที่ยกชามกับตะเกียบเดินผ่านไปก็เอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง “ไม่เปิดหูเปิดตาเอาซะเลย นี่เรียกว่าเป้ปีนเขาไงล่ะ”
เหมียวเหมี่ยวหมดคำพูด เธอนั่งลงตรงที่นั่งประจำ
หวงหรูหรูได้กลิ่นเรื่องซุบซิบ อยากจะตามไปไถ่ถาม แต่ก็ถูกหานต้งตะโกนเรียก “โต๊ะเบอร์สาม เก็บเงิน”
“ค่ะ…” หวงหรูหรูชะงักไปสักครู่ ได้แต่ไปทำงานของตัวเองก่อน
หานต้งถือสมุดเล่มเล็กเดินมาที่โต๊ะของเหมียวเหมี่ยว “รับอะไรดีครับ”
“เอ่อ…ตอนนี้เพิ่งจะสามโมงเอง…ยังเร็วไปหน่อย กินอะไรจืดๆ ดีกว่า เอาเป็นบะหมี่ผักก็แล้วกันค่ะ” เหมียวเหมี่ยวยังอยากเหลือท้องเอาไว้กินอาหารเย็นตัวจริง
หานต้งจดรายการอาหารแล้วพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องครัว
เจิ้งหลินเทียนวางชามกับตะเกียบลงในซิงก์ล้างจานพอดี ทว่าหูยังคงลู่ตรงอยู่ตลอด เมื่อเห็นหานต้งเข้ามาก็พุ่งตัวเข้าไปถาม “อาจารย์ พี่เหมียวเป็นอะไรไปเหรอครับ” เอ่ยไปก็ชะโงกไปดูรายการที่หานต้งจดมาปราดหนึ่ง “ว้าว บะหมี่ผักเหรอ! ให้ผมเป็นคนทำนะครับอาจารย์ ผมรับประกันว่าจะทำให้สำเร็จ”
เจิ้งหลินเทียนเรียนทำอาหารกับหานต้งมาเป็นเวลาสองปีแล้ว อีกทั้งเรียนมาหลากหลายอย่าง แน่นอนว่าบะหมี่ผักชามเดียวถือเป็นเรื่องเล็ก ทว่าจริงๆ แล้วเขาก็แค่ไม่อยากล้างจานเท่านั้น นอกจากนี้ยังอยากฉวยโอกาสไปสืบเรื่องซุบซิบก็เท่านั้นแหละ
คิดไม่ถึงเลยว่าหานต้งจะปฏิเสธเขา “ฉันทำเอง นายไปล้างจานซะ”
“ไม่เอาน่า…” เจิ้งหลินเทียนขอร้องด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย แต่ก็ถูกหานต้งส่งสายตาหมางเมินเป็นการตักเตือนอ้อมๆ สยบไว้ เขารีบร้อนกลับไปยังซิงก์ล้างจาน “ได้ๆๆ ผมจะล้างจาน”