ทุกวันลิ่นจื่อเชินจะต้องออกไปสืบข่าวข้างนอก จนได้รู้จักพ่อค้าที่มาจากเจียงซูคนหนึ่ง ตอนที่พ่อค้าคนนั้นเห็นเขาแอบอยู่ใต้โต๊ะกลับไม่ไล่ตะเพิดเหมือนเวลาคนอื่นเห็นแมวดำ อีกทั้งยังเอาอาหารมาป้อนให้เขากินซึ่งล้วนแต่เป็นเนื้อเป็นปลาดีๆ ที่ไม่มีทางได้กินในบ้านสกุลซย่าทั้งสิ้น แต่เขากลับรู้สึกว่าอาหารเหล่านั้นเค็มเหลือใจ เทียบกับอาหารที่ซย่าหมิ่นทำไม่ได้เลย สรุปก็คือของที่นางทำอร่อยกว่า
เข้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวพ่อค้าเจียงซูคนนี้ได้สักพัก เขาก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายจะขนสินค้าไปเมืองหลวง เพียงแต่ยังไม่รู้กำหนด ในที่สุดวันนี้ก็แน่ใจว่าพ่อค้าจะออกเดินทางไปเมืองหลวงพรุ่งนี้ ข่าวที่สืบได้สร้างความยินดีปรีดาให้ลิ่นจื่อเชินอย่างยิ่ง เขาจะแอบขึ้นรถไปด้วย ต่อให้ถูกเจอก็ไม่เป็นไร เพราะพ่อค้าคนนี้ชอบเขามาก เชื่อว่าคงเต็มใจพาเขาไปด้วย เมื่อไปถึงเมืองหลวง เขาก็จะสามารถกลับเข้าร่างตนเองได้แล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดทั้งที่เป็นข่าวดีออกอย่างนี้ ซอกมุมหนึ่งในใจกลับห่อเหี่ยวอย่างประหลาด
เขากำลังจะไปจากบ้านสกุลซย่า กำลังจะจากลาครอบครัวนี้…
ไม่สิ แต่เดิมเขาก็แค่มาพักอยู่ชั่วคราว ไม่มีอะไรต้องอาลัยเสียหน่อย เขาบอกตนเอง พยายามลบความรู้สึกหม่นๆ ในใจทิ้งไป
หลังสืบข่าวเสร็จพ่อค้าเจียงซูผู้นั้นก็ทำท่าจะลุกออกไป ลิ่นจื่อเชินตั้งใจจะตามไปด้วย เพราะเดินออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมคนผู้นี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่พลันเห็นคู่สามีภรรยาแต่งกายหรูหราเดินเข้ามานั่งเสียก่อน ข้างหลังมีบ่าวไพร่ติดตามมาเป็นขบวน เขาเลยพลาดโอกาสเดินออกไป ต้องกลับมาแอบอยู่ใต้โต๊ะเหมือนเดิม
“ตกลงว่านางเด็กซย่าหมิ่นนั่นความจำเสื่อมจริงหรือแกล้งความจำเสื่อมกันแน่ นางไม่รู้จริงๆ หรือว่าก่อนพี่ชายตายได้เอาตำรับยาที่พ่อทิ้งไว้ให้ไปซ่อนไว้ที่ใด”
ได้ยินคำว่า ‘ซย่าหมิ่น’ ลิ่นจื่อเชินก็ทำหูผึ่งพร้อมแอบมุดออกจากใต้โต๊ะมาดู เป็นป้าของซย่าหมิ่น ซย่าซื่อผู้กุมอำนาจในร้านยาเหรินเต๋อจริงๆ ด้วย ส่วนบุรุษที่นั่งข้างกันเขาไม่รู้จัก แต่คิดว่าน่าจะเป็นสามีของนาง
“เรื่องความจำเสื่อมนี้จะแกล้งกันได้อย่างไร เด็กผู้นั้นถูกรถม้าชนจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ใครก็รู้กันทั้งนั้น เคยได้ยินว่าคนบางคนพอได้กลับจากประตูผีก็เปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังมือ ซ้ำยังลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้น เจ้าลองคิดดูสิ ตอนได้เจอพวกเราครั้งแรกหลังจากเกิดเรื่อง นางก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยและจำพวกเราไม่ได้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นถ้าจะลืมว่าตำรับยาซ่อนอยู่ที่ใดก็เป็นไปได้สูง” ชายผู้นี้เป็นสามีของซย่าซื่อจริงๆ นามว่าหลี่คัง เปิดร้านรวงกิจการดีหลายร้านในเมืองเฉาหยาง นับเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยอย่างยิ่งของเมืองนี้
ได้ยินสามีพูดดังนั้น ซย่าซื่อก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “พอความจำเสื่อมก็ปัญญาอ่อนเสียด้วย ร้านยาก่วงจี้เสียชื่อจนกู้กลับคืนมาไม่ได้แล้วแท้ๆ นางเอาอะไรมาคิดว่าตนเองจะทำให้ร้านกลับมาเปิดกิจการใหม่ได้ ช่างไม่รู้จักประมาณตัว ออกไปตั้งแผงรักษาโรคทุกวันราวกับคนเสียสติ ให้ชาวบ้านเขาหัวเราะเอาเปล่าๆ”
“จริงของเจ้า นางมันไม่รู้จักประมาณตัว ไว้เดี๋ยวพอรู้ว่าไม่มีปัญญาจะทำเมื่อไรก็ล้มเลิกความคิดเองนั่นล่ะ…” หลี่คังเป็นพวกกลัวภรรยา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คล้อยตามภรรยาหมด เขาพูดแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามอย่างฉงน “ช้าก่อน ในเมื่อชื่อเสียงร้านยาก่วงจี้เสียหายถึงเพียงนั้น เจ้าจะยังอยากได้ตำรับยามาด้วยเหตุใดเล่า”
“ตำรับยาพวกนั้นเป็นของที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ สูงค่าอย่างยิ่ง แค่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนห่อเอาออกมาขาย รับรองว่าต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เมื่อถึงเวลานั้นใครจะไปรู้เล่าว่านี่คือยาตำรับร้านยาก่วงจี้” ซย่าซื่อปรายตามองสามี “ที่ข้าอยากได้ตำรับยาของร้านยาก่วงจี้ก็เพราะชุดยาต้มของร้านยาเหรินเต๋อขายไม่ดีพอไม่ใช่หรือไร หมอที่ท่านหามาคิดค้นตำรับยามีแต่ท่าดีทีเหลวทั้งนั้น”