บทที่สี่
ในวังหลวง บนเตียงหลังใหญ่แบบสี่เสาที่ขึงม่านแพรสีแดงเข้มโดยรอบ มีร่างของบุรุษผู้งดงามนอนอยู่
เขาคือลิ่นจื่อเชิน ตั้งแต่รถม้าตกหน้าผาในครานั้นเขาก็นอนไม่ได้สติมาถึงหนึ่งเดือน เหล่าแพทย์หลวงหมดปัญญาจะช่วยเหลือ จักรพรรดิมีคำสั่งให้นำตัวน้องชายเข้ามาดูแลในวังหลวงเพื่อประคองชีวิตเขา ใช้เห็ดหลิงจือกับโสมช่วยต่อลมหายใจ เนื่องจากได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หากไม่นับใบหน้าที่ซูบตอบไปเล็กน้อย เขาก็ดูไม่เหมือนคนป่วยแต่อย่างใด
ตำหนักในเวลานี้เงียบกริบ นอกจากข้าหลวงที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ในตำหนักก็มีเซียวหลงคอยดูลิ่นจื่อเชินอยู่คนเดียว จึงไม่มีเสียงใดให้ได้ยินทั้งสิ้น ภายในห้องจุดเครื่องหอมเอาไว้ เป็นเครื่องหอมหลงเสียนที่ลิ่นจื่อเชินโปรดปราน จักรพรรดิเป็นคนรับสั่งให้จุด ด้วยหวังว่าจะช่วยให้น้องชายฟื้นขึ้นมาเร็วขึ้น
กลิ่นหอมอันคุ้นเคยนี้ปลุกลิ่นจื่อเชินให้ฟื้นขึ้นมาจริงๆ เขาปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เห็นม่านเพดานเตียงขึงอยู่เหนือศีรษะ ห้อยชายแพรโอบล้อมอยู่รอบกาย มองผ่านผ้าสีแดงเข้มเนื้อโปร่งบางออกไปเห็นข้างนอกได้รำไร ความคิดเพิ่งทำงานเอาตอนนี้ว่าตนอยู่ในวังหลวง
เขากำลังอยู่ในวังหลวง…เขากลับมาแล้วหรือ
ลิ่นจื่อเชินดึงมือทั้งสองข้างใต้ผ้าห่มออกมาดูอย่างตื่นเต้น ไม่ใช่อุ้งเท้าแมวที่ปกคลุมด้วยขนสีดำเป็นเงาอีกแล้ว แต่เป็นสิบนิ้วขาวเกลี้ยงเกลา หน้าเขา…เขายกมือสั่นระริกขึ้นลูบหน้าตนเองแล้วยิ่งลิงโลด จากนั้นเขาก็แหวกม่านแพรพยายามลุกลงจากเตียงไปดูให้แน่ใจว่าแท้ที่จริงตนเองไม่ได้ลงมาอยู่ในยมโลกหลังความตาย และทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพฝัน
ความเคลื่อนไหวของเขาทำให้เซียวหลงแตกตื่นทันที คนสนิทแหวกม่านแพรรวดเร็วกว่า พอเห็นว่าอีกฝ่ายฟื้นแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนน้ำตานองหน้า “ท่านอ๋อง ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดก็ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว กระหม่อมกลัวเหลือเกินว่าจะไม่ทรงตื่นขึ้นมาอีก ต้องอธิษฐานขอพระพุทธองค์ทุกวัน”
ใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตารวมทั้งเสียงสะอื้นของเซียวหลงช่วยให้ลิ่นจื่อเชินมั่นใจว่าตนอยู่ในวังหลวงและกลับเข้าร่างตนเองแล้วจริงๆ เขาถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก
“เช็ดน้ำมูกเสีย อย่าให้กระเซ็นมาถูกตัวข้า สกปรกจริง…” เนื่องจากไม่ได้พูดมานาน เสียงที่เอ่ยออกมาจึงแหบต่ำบาดหูอย่างยิ่ง…
“พ่ะย่ะค่ะ…” เซียวหลงรีบใช้แขนเสื้อเช็ดหน้า
“ข้าหมดสติไปนานเท่าไร” เขาถาม
“นับตั้งแต่ตกหน้าผาท่านอ๋องก็ทรงไม่ได้สติมาหนึ่งเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คนสนิทตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ท่านอ๋อง องค์จักรพรรดิทรงเป็นห่วงพระองค์มาก ต้องเสด็จมาดูพระอาการทุกวัน กระหม่อมจะรีบส่งคนไปทูลให้ทราบเดี๋ยวนี้…อ้อ แล้วก็หมอหลวงด้วย” พูดพลางทำท่าจะลุกขึ้นส่งเสียงเรียกคนข้างนอก
“ช้าก่อน…” ลิ่นจื่อเชินร้องห้ามเสียงแหบ
“ท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะบัญชา” เซียวหลงตบหัวตนเองพลางกล่าว “กระหม่อมนี่ช่างโง่เง่าแท้ๆ ท่านอ๋องพระศอแห้ง ย่อมต้องโปรดจะเสวยน้ำอยู่แล้ว…”
ระหว่างที่พูดอย่างนั้นก็เดินไปรินน้ำที่โต๊ะด้านหน้า เวลาอยู่ตำหนักตนเอง ลิ่นจื่อเชินไม่ชอบให้นางกำนัลปรนนิบัติ ที่ผ่านมาจึงมีแต่เขากับพวกองครักษ์ที่ผลัดเปลี่ยนกันมารับใช้
ลิ่นจื่อเชินอยากลุกจากเตียง แต่นอนมานานเกินไปจนไม่มีแรง เซียวหลงที่รินชาเสร็จเรียบร้อยแล้วปราดเข้ามาประคองเขาอย่างคล่องแคล่ว โดยหยิบหมอนมาหนุนหลังให้นั่งสบายๆ
อ๋องหนุ่มดื่มชาแล้วถามขึ้นเนิบๆ “เซียวหลง หากข้าบอกว่า…ช่วงที่ผ่านมาข้ากลายเป็นแมว ติดอยู่ในร่างแมว กลับมาไม่ได้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
ฝ่ายตรงข้ามชะงัก ก่อนจะถามอย่างงงงัน “เอ่อ…ท่านอ๋องทรงพระสุบินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝันหรือ” ลิ่นจื่อเชินแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วโบกมือวูบ “เอาเถิด เจ้าจะไปทำอะไรก็ไป”
เหตุใดท่านอ๋องถึงได้ดูแปลกๆ นะ เซียวหลงคิดทว่าไม่กล้าพูดอะไรมาก ออกไปสั่งงานคนตามที่ตั้งใจไว้
เขาฝันไปจริงๆ น่ะหรือ ลิ่นจื่อเชินถามตนเอง ทว่าฝันนั้นช่างสมจริงเหลือเกิน เขากลายเป็นแมวไปจริงๆ ใช้ชีวิตเช่นแมวในบ้านสกุลซย่า อยู่ร่วมกับคนบ้านนั้นถึงหนึ่งเดือน