หมอเฉินเห็นนางเบื่อจนนั่งตบยุงก็พูดอย่างละอายแก่ใจ “เฮ้อ เป็นเพราะข้าไม่ใช่หมอชื่อดังนั่นล่ะ ถึงดึงคนไข้เข้าร้านไม่ได้…”
หญิงสาวรีบแย้งเมื่อได้ยิน “ท่านลุงเฉินพูดอะไรอย่างนั้น สมัยที่ท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นหมอที่ได้รับความเชื่อถืออันดับหนึ่งของร้านยาก่วงจี้เชียวนะ วันก่อนก็เพิ่งจะมีคนไข้มาหาท่านโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ ข้าเพิ่งจะเปิดร้านได้ไม่กี่วัน ลูกค้าจะไม่เยอะก็ไม่แปลกหรอก”
“ฮ่าๆ ข้ามาช่วยเจ้า กลับกลายเป็นถูกเจ้าปลอบไปเสียได้” หมอเฉินหัวเราะพลางลูบเครา แล้วพูดต่อ “หมิ่นเอ๋อร์ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าร้านยาก่วงจี้จะมีวันได้กลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความทุ่มเทของเจ้า วิญญาณของพ่อแม่เจ้าที่อยู่บนสวรรค์คงจะภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”
แม้ว่าซย่าหมิ่นจะดูแข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดี แต่ความจริงในใจก็กังวลไม่น้อย ทว่าคำพูดของหมอเฉินเป็นกำลังใจให้นางได้อย่างดี นางบอกตนเองว่าชาวบ้านไม่ได้สูญเสียความเชื่อถือที่มีต่อร้านยาก่วงจี้ภายในวันเดียว การจะดึงลูกค้ากลับมาใหม่นั้นจึงเป็นศึกระยะยาวที่ต้องสู้กันอีกนาน
ถ้าเช่นนั้นจะทำศึกอย่างไรเล่า
แจกใบประกาศอย่างเดียวยังไม่พอ
ซย่าหมิ่นเริ่มวางกลยุทธ์การตลาดว่าควรจะดึงดูดคนไข้เข้าร้านอย่างไรดี อย่าได้คิดเชียวว่าแค่แจกใบปลิว ปรับปรุงร้านใหม่ ให้หมอชื่อดังอย่างหมอเฉินมานั่งตรวจโรคแล้วจะดึงลูกค้าเข้าร้านได้ นางต้องใช้วิธีเชิงรุกยิ่งกว่านี้
จริงด้วย นางต้องมีสินค้าเด็ด!
สินค้าเด็ดช่วยให้ผู้คนวางอคติแล้วเดินเข้าร้าน ขอเพียงมีคนยอมเข้ามาซื้อยา เข้ามาตรวจโรค นางก็จะมีโอกาสกอบกู้ชื่อเสียง เรียกความเชื่อมั่นของชาวบ้านกลับมาได้อีกครั้ง
ดังนั้นซย่าหมิ่นจึงเริ่มวิเคราะห์ว่าร้านยาเหรินเต๋อที่อยู่เยื้องกันมีดีอะไร กิจการถึงได้รุ่งเรืองนัก แน่ละว่าต้องมีหมอเก่งๆ มานั่งประจำร้าน นอกจากนั้นยังขายชุดยาต้มบำรุงร่างกายตำรับต่างๆ ลูกค้าจำนวนหนึ่งเข้าร้านมาซื้อชุดยาต้มพวกนี้ สมัยที่ร้านยาก่วงจี้ยังเฟื่องฟู ชุดยาต้มเช่นนี้ก็ขายดีอย่างยิ่ง หากนางสามารถ…
ไม่สิ ร้านยาก่วงจี้ต้องมีอันตกต่ำอย่างปัจจุบันก็เพราะชุดยาต้มเป็นพิษนี่ล่ะ หากนางทำออกขายใหม่จะมีคนกล้าซื้อหรือ เรื่องจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนห่อนั้นทำได้ ที่ท่านป้าอยากได้ตำรับยานักหนาก็ต้องเป็นเพราะคิดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเห็นว่าค่อนข้างเสี่ยง เพราะเรื่องในอดีตสร้างผลเสียไว้ร้ายแรงเกินไป ที่ยิ่งกว่านั้นคือนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตำรับยาซ่อนอยู่ที่ใด นี่เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมที่นางยังนึกไม่ออก…ช่างเถิด อย่าเพิ่งทำยาชุดเลย ลองอะไรใหม่ๆ ดีกว่า แต่ปัญหาก็คือจะทำอะไรดีล่ะ
วันนั้นซย่าหมิ่นนั่งเอามือเท้าคางพลางเค้นสมองครุ่นคิดอยู่ในร้านทั้งวัน แต่ก็ยังคิดไม่ออก
ทันใดนั้นซย่าเจวี้ยนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาข้างใน “พี่ใหญ่ หน้าข้าเป็นสิว ข้าป่วยเป็นโรคประหลาดอะไรหรือไม่”
ซย่าหมิ่นรีบเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน จับหน้าน้องสาวเงยขึ้น “ไม่ต้องกลัว เช่นนี้เรียกว่าสิวสาว แล้วก็เป็นสิวอักเสบ คงเพราะช่วงนี้เจ้าร้อนใน นอนไม่ค่อยหลับ สิวเลยขึ้น ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวข้าจะจัดยาแก้ร้อนในให้ ที่สำคัญคือห้ามไปบีบมันเป็นอันขาด…” พูดมาถึงตรงนี้เสียงหวานก็สะดุดลงกะทันหัน เมื่อความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในสมอง
จริงด้วย เหตุใดถึงคิดไม่ถึงกันนะ!
ในยุคปัจจุบันแพทย์แผนโบราณมีแขนงเพื่อความงามโดยเฉพาะ นำสมุนไพรมาวิจัยทำเป็นเครื่องประทินผิวประเภทต่างๆ โรงพยาบาลบ้านนางยังมีแผนกความงามที่ใช้สมุนไพรครบถ้วนทั้งแบบกินแบบทา กิจการไปได้ดีมากทีเดียว
ถัดจากนั้นนางก็นึกได้ว่าร้านยาใหญ่ที่สุดในเมืองเฉาหยางคือร้านยาเหรินเต๋อ หากแต่ร้านยาเหรินเต๋อไม่ให้ความสำคัญกับด้านความงาม ร้านเล็กอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากสตรีในเมืองอยากซื้อเครื่องประทินผิวก็ต้องไปซื้อที่ร้านขายแป้งผัดหน้า มีตัวเลือกไม่หลากหลายซ้ำยังราคาแพง หากนางสามารถวิจัยสมุนไพร ผลิตเป็นเครื่องประทินผิวออกมาขายในวงกว้าง จะต้องทำกำไรได้อย่างแน่นอน สตรีรักสวยรักงามเป็นนิสัย นางไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคนซื้อ
“พี่ใหญ่…ท่านยิ้มอะไรอยู่คนเดียว” ทั้งยังอ้าปากเสียกว้างจนน้ำลายแทบไหลออกมาอยู่แล้ว…ซย่าเจวี้ยนยกมือขึ้นโบกตรงหน้าพี่สาว
ซย่าหมิ่นได้สติกลับคืนมา จับไหล่อีกฝ่ายกล่าวว่า “เจวี้ยนเอ๋อร์ พี่ใหญ่รักเจ้าเหลือเกินเลยจริงๆ ขอบใจมากนะที่เจ้ามีสิว พี่เลยคิดได้ พวกเรามาทำเรื่องดีๆ ด้วยกันเถิด!”