นางรู้ว่าได้เวลาที่เขาควรออกจากจวน จึงลุกขึ้นเดินไปหยิบแส้ม้าที่วางไว้อีกทางมาเหน็บเอวให้
ชายหนุ่มก้มหน้ามองมือเล็กสอดแส้ม้าไว้ตรงข้างเอวตน
เข็มขัดแน่นขึ้น เพราะนางต้องใช้นิ้วรั้งไว้สองนิ้วถึงจะสอดแส้เข้ามาได้ ปลายนิ้วเรียวเล็กกดแนบอยู่กับเอวสอบ
กลิ่นหอมที่เคยคุ้นโชยมากระทบจมูกอีกครั้ง นัยน์ตาคมไหววาบเมื่อเห็นซอกคอขาวผ่องราวกับหิมะของคนตรงหน้า
“ทีนี้ข้าก็ไม่ต้องเข้ามาทุกเช้าทุกเย็นแล้ว” อยู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้น
ฝูถิงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเข้าใจว่านางพูดถึงแผล
หญิงสาวพลันเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยรอยยิ้มในดวงตา “แต่ดูเหมือนข้าจะมาจนชินเสียแล้ว ไม่ทราบว่าท่านชินด้วยหรือไม่”
เขาเม้มปากแน่น สายตาที่มองมาทำเอาเขาต้องเค้นสมองคิดว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี
พอนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่…ดูเหมือนจะชินแล้วจริงๆ
ทว่านางดึงมือกลับไปเหมือนไม่ได้สนใจรอฟังคำตอบ “เรียบร้อยแล้ว ไปเถิด”
ฝูถิงเหน็บแส้ม้าเข้าที่เอวใหม่ รู้สึกราวกับสัมผัสจากปลายนิ้วนุ่มเนียนยังอ้อยอิ่งอยู่บนนั้น
จวบจนรู้ตัวว่าชักจะมองนางนานเกินไปแล้ว เขาถึงได้ก้าวเท้าออกเดิน
“ช้าก่อน” หลี่ชีฉือส่งเสียงเรียก
เขาหันมามอง เห็นนางชี้ไปยังกล่องบนโต๊ะ “ท่านไม่ได้เอาเงินไป”
ชายหนุ่มย้อนกลับไปหยิบกล่องมาหนีบไว้ใต้แขนข้างหนึ่ง พอเดินไปถึงประตูห้องก็รั้งฝีเท้าหันกลับมามองนาง
“ไม่ได้ใส่ใจฟังหรือ” เขาย้อนถามประโยคที่นางพูดเมื่อครู่นั่นเอง
หลี่ชีฉือประสานสายตากับอีกฝ่าย ร่างสูงสง่าของเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาที่ดำสนิทกว่าคนทั่วไปฉายแววเข้มลึกเมื่อจ้องมองนาง
หญิงสาวใจลอยไปวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วเบนสายตาไปอีกทาง ปลายนิ้วดึงชายแขนเสื้อแน่น “อืม”
แค่เห็นดวงหน้างามผินมองไปทางอื่นก็รู้แล้วว่านางได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ เขาเหยียดมุมปากออกจากกันเล็กน้อย รู้สึกอับจนด้วยคำพูด ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง
เมื่อออกมานอกจวน หลัวเสี่ยวอี้จูงม้าคู่ใจมารออยู่แล้ว ห่างออกไปคือกองทหารที่เจ้าตัวนำมาด้วย
ฝูถิงเดินเข้าไปรับบังเหียน
คนสนิทถูมือเข้าด้วยกันแล้วเป่าลมใส่ ก่อนจะสัพยอก “พี่สามกับพี่สะใภ้คุยเรื่องส่วนตัวอะไรกัน ทำเอาข้ารอเสียนาน”
ถ้าเล่าให้ฟังได้ยังจะเรียกว่าเรื่องส่วนตัวอีกหรือ
เขาโยนกล่องใบนั้นไปให้ แล้วเหยียบโกลนขึ้นม้าทันที
หลัวเสี่ยวอี้รับไว้อย่างแม่นยำ กลับมาพูดจาเป็นการเป็นงานเหมือนเดิม “บอกตรงๆ นะพี่สาม ข้าสั่งให้คนล่วงหน้าไปจ่ายเบี้ยหวัดแล้วล่ะ ขาดแค่รอเอาเจ้ากล่องนี้ไปสมทบก็ครบพอดี”
นี่คือการบอกอ้อมๆ ว่าเงินในกล่องนี้ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องใช้
ฝูถิงดึงแส้ม้าออกจากเอว “คราวหน้าหากจัดการเองก่อนแล้วมารายงานทีหลัง ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่”
“แน่นอนอยู่แล้ว รับรองว่าไม่มีหนที่สองเด็ดขาด” หลัวเสี่ยวอี้ยิ้มพลางรีบเอ่ยรับรอง
พูดจบเขาก็ล้วงผ้าผืนหนึ่งจากในอกเสื้อมาห่อกล่องผูกคาดอกไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ตวัดตัวขึ้นหลังม้า โบกมือวูบเป็นสัญญาณออกเดินทาง ก่อนจะนำผู้ใต้บังคับบัญชาไปขึ้นเงินสด