บทที่ 92
เดิมทีฝานจิ้งเป็นแม่ทัพฝีมือฉกาจใต้อาณัติท่านตาของเจียงหานหยวน ทั้งยังสนิทสนมกับเยียนฉงน้าชายนางประหนึ่งพี่น้อง นอกจากนั้นเขายังเป็นคนสนิทของเจียงหานหยวน มีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาในเมืองอวิ๋นลั่ว ปีกลายตั้งแต่รับคำสั่งให้ประจำอยู่ในเมืองเขาก็ร่วมกันกับจงเฉิงผู้เป็นน้าชายของเยียนเฉิงช่วยแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงให้เด็กหนุ่ม
ปลายปีก่อนเยียนเฉิงกับจงเฉิงนำกำลังคนไปขี่ม้าตรวจตราชายแดนแล้วปะเข้ากับทหารม้าเป่ยตี๋กองเล็กๆ ฝ่ายตรงข้ามควบม้าหนีไป เยียนเฉิงไล่ตามอย่างไม่ลดละโดยไม่ฟังคำทัดทานของน้าชาย ปรากฏว่าไปเจอทหารม้าอีกกองเข้ากลางทาง ช่วงที่สองฝ่ายปะทะกัน เขาพลัดหลงกับกลุ่มใหญ่และไม่ได้กลับมาในวันนั้น
นับแต่ราชสำนักเปิดศึกกับเป่ยตี๋ ชั่วระยะเวลาที่ผ่านมาฝานจิ้งยุ่งตัวเป็นเกลียวกับการเตรียมศึก พอรู้ข่าวก็ร้อนใจเสียไม่มีดี นำกำลังคนออกตามหาจนทั่วอยู่หลายวันก็ยังไร้ความคืบหน้า จึงนึกว่าเยียนเฉิงมีอันเป็นไปเสียแล้ว จังหวะที่เตรียมจะเขียนจดหมายบอกเจียงหานหยวน จงเฉิงก็หาเยียนเฉิงพบแล้วพาตัวกลับมา
เด็กหนุ่มได้แผลสะบักสะบอมไปทั้งร่าง เล่าว่าวันนั้นหลังพลัดหลงจากกลุ่มใหญ่ตนขี่ม้าเร็วเกินไปเพราะคิดแต่จะสลัดทหารเป่ยตี๋ที่ตามมาข้างหลังให้พ้น สุดท้ายพลาดพลัดตกจากหน้าผาทั้งคนทั้งม้าแล้วหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าทหารเป่ยตี๋ไปแล้ว ตนโชคดีรอดชีวิตมาได้ ระหว่างกินนอนกลางป่าก็ปะเข้ากับคนของตนเองกลางทางจึงได้กลับมา
ถือเป็นโชคดีนักที่เยียนเฉิงสามารถกลับมาได้โดยปลอดภัย ฝานจิ้งพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก เรื่องราวจบลงเพียงเท่านั้น เขาหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาเตรียมรบต่อ
หลังปีใหม่เมื่อต้าเว่ยสั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเยี่ยนเหมิน สถานการณ์ทางด่านซีกวนก็ตึงเครียดตาม เขากับหลิวไหวหย่วนที่ปกปักรักษาด่านซีกวนอาศัยพึ่งพากัน ตัวเขาฝึกทหารอยู่ที่แนวหน้า เตรียมพร้อมทุกเมื่อ
เดือนก่อนอยู่ๆ เขาก็ได้รับข่าวในวันหนึ่งว่าเจียงหานหยวนส่งตัวแทนถือจดหมายสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการศึกมาให้ เป็นเรื่องเร่งด่วน ให้เขารีบไปพบทันที เขากลัวว่าชักช้าจะทำให้เสียการใหญ่ จึงมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วออกเดินทางกลับไปในคืนนั้น แต่ไปถึงกลางทางก็ได้เจอคนสนิทในเมืองอวิ๋นลั่วของตนเอง คนผู้นั้นบอกว่าเยียนเฉิงเข้าสวามิภักดิ์กับเป่ยตี๋แล้ว เวลานี้ได้สมคบคิดกับน้าชายแอบวางแผนลวงเขากลับเมืองอวิ๋นลั่วไปฆ่า พอตนรู้ข่าวก็รีบหนีออกมาทันที ขอให้เขาอย่าได้กลับไป
คนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส พอรายงานจบก็ขาดใจตาย กลุ่มคนที่ไล่สังหารตามมาถึงพอดีในจังหวะนั้น ฝานจิ้งอาศัยวรยุทธ์อันล้ำเลิศหนีจากการไล่ล่ามาได้ เขากลัวจะเกิดเหตุขึ้นที่แนวหน้า จึงวกกลับมาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ยังไม่ทันถึงที่หมายก็เห็นทหารเป่ยตี๋จำนวนเหลือคณานับที่กลางทาง แห่แหนกันมามืดฟ้ามัวดิน กำลังมุ่งหน้าไปทางด่านซีกวน
เห็นเช่นนี้เขาก็พอปะติดปะต่อได้ว่าเยียนเฉิงคงปล่อยกองทัพเป่ยตี๋เข้ามาหลังลวงเขาออกจากแนวหน้า ตอนนี้ลองย้อนคิดดู ระยะเวลาหลายวันที่เยียนเฉิงหายตัวไปช่วงปลายปีคงถูกพวกเป่ยตี๋จับเป็นเชลยแล้วปล่อยตัวกลับมาเป็นแม่นมั่น ดีไม่ดีการปะทะกันคงเป็นแผนที่พวกเป่ยตี๋จัดฉากขึ้นเพื่อหาทางเจรจาดึงเยียนเฉิงเข้าเป็นพวก
ตอนนั้นเขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว จึงเลือกใช้ทางสายเล็ก เร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน จนสุดท้ายสามารถกลับมาส่งข่าวก่อนที่เยียนเฉิงจะถึงด่านซีกวน พาด่านซีกวนรอดพ้นจากหายนะได้อย่างหวุดหวิด แล้วยืนหยัดรักษาที่นี่มาจนวันนี้
ฝานจิ้งเล่าต้นสายปลายเหตุตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นเจียงหานหยวนเอาแต่มุ่นหัวคิ้ว ไม่พูดอะไรอยู่นานก็เอ่ยผ่านแนวฟันที่ขบแน่น “เมื่อทัพหนุนมาถึง ท่านแม่ทัพโปรดให้โอกาสข้าได้ลบล้างความผิดสักครั้งเถิด!”
หัวใจของเขาอัดแน่นด้วยความรู้สึกผิด เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าจะยอมดับดิ้นไปพร้อมพวกเป่ยตี๋ ตอนที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาจึงไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว ไม่นึกว่านางกลับถามว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เหล่าขุนศึกแต่ดั้งเดิมของท่านน้าเต็มใจยอมทำตามเยียนเฉิงกันหมดหรือ”
“เวลานี้เยียนเฉิงนำกลุ่มผู้จงรักภักดีมาตีเมืองร่วมกับกองทัพเป่ยตี๋ด้วย ส่วนจงเฉิงจับตาดูคนเหล่านั้นอยู่ในเมืองอวิ๋นลั่ว ครอบครัวของพวกเขาถูกคุมตัวไว้ จึงไม่มีใครกล้าแข็งข้อขอรับ”
เจียงหานหยวนปีนขึ้นป้อมปราการ ทอดสายตามองไปไกลๆ สักพักก็เอ่ยเนิบนาบ “อาฝาน กว่าทัพหนุนจะมาถึงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนเก่าคนแก่ของท่านน้าทั้งสิ้น หากท่านน้าที่อยู่ในยมโลกได้รู้คงไม่อยากเห็นพวกเขาก้าวเดินไปสู่หายนะด้วยกันกับเยียนเฉิงหรอก…ข้าอยากไปเมืองอวิ๋นลั่วเพื่อพบพวกเขาสักครั้ง”