ขันทีน้อยเงยหน้าขึ้นช้าๆ พอสบประสานกับสายตาสงบนิ่งที่ทอยิ้มบางๆ ของเจ้านายก็พลันชะงักแล้วบรรลุวาบ
เขาเป็นอะไรไปนะ ถึงได้แสดงความโง่เขลาออกมาจนถึงขั้นนี้
เกลี้ยกล่อมให้กินอาหารก็เกลี้ยกล่อมไป แต่ดันเอ่ยเรื่องไม่เป็นมงคลที่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาต่อหน้าเจ้านายเสียได้
เขารีบปาดน้ำตา แล้วงัดเอาความสามารถในการเล่นตลกชวนหัวแต่เก่าก่อนมาใช้ แสร้งตบหน้าตนเองฉาดหนึ่ง จากนั้นก็เอามือกุมแก้มพูดว่า “กระหม่อมนึกออกแล้ว เมื่อคืนกระหม่อมนอนไม่พอนี่เอง เมื่อครู่ถึงได้ละเมอพูดจาเลอะเทอะ! เพิ่งจะได้สติตื่นขึ้นมาด้วยแรงตบฉาดนี้นี่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องรีบเสวยเร็วเข้าเถิด หากสายประเดี๋ยวจะเสด็จเข้าประชุมราชสำนักไม่ทัน!”
ซู่เซิ่นฮุยกินอาหารต่อโดยไม่พูดอะไรอีก พอกินเสร็จก็กลั้วปากอย่างไม่รีบร้อน รับผ้าที่จางเป่ากระวีกระวาดส่งให้มาเช็ดปากอย่างเบามือ สุดท้ายก็มองขันทีคนสนิทยิ้มๆ “ยังเช้าอยู่มาก พอข้าไปแล้ว เจ้ากลับไปนอนต่อสักงีบไป”
หลังพูดอย่างนั้นก็วางผ้าลงบนถาดดังเดิมแล้วหมุนตัวเดินออกไป
หวังเหรินนำกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชามารออยู่แล้วที่นอกประตูใหญ่หน้าจวน พอเจ้านายขึ้นม้าก็ขี่ตามไปอารักขา ทั้งหมดฝ่าความมืดมิดของท้องฟ้าเบื้องบนออกจากจวนอ๋อง พร้อมเสียงเกือกม้ากระทบกระเบื้องหินดังกุบกับๆ เป็นกังวานก้อง มุ่งหน้าสู่วังหลวงดังเช่นปกติ
ในมุมหนึ่งของตรอกลึกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล สายตาคู่หนึ่งจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังของเขา โดยมีม่านดำมืดอันเข้มข้นของรัตติกาลช่วยอำพราง จวบจนเขาหายลับไปในความมืด คนผู้นั้นถึงค่อยออกจากที่ซ่อนอย่างเงียบเชียบ ลัดเลาะเข้าตรอกเล็กตรอกน้อยข้างเคียงที่ตัดกันเป็นตารางเหมือนกระดานหมากของฉางอัน เพียงครู่เดียวก็นำข่าวไปบอกยังจุดที่นัดแนะไว้
สำหรับซู่เซิ่นฮุยแล้วตลอดคืนที่ผ่านมาเป็นคืนสงบสุขธรรมดาคืนหนึ่ง แต่สำหรับคนบางกลุ่มกลับเป็นคืนที่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
ยิ่งสถานการณ์สงครามทางเหนือผันผวนเท่าไร ข้อโต้แย้งในราชสำนักก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเท่านั้น แม้ฮ่องเต้น้อยจะยังเอาแต่รักษาท่าทีคลุมเครือจนคาดเดาความคิดไม่ได้มาจนบัดนี้ แต่ขอเพียงมีความเงียบของเจ้าตัวก็พอแล้ว
ในบางมุมความเงียบก็คือการเห็นชอบที่ดีที่สุด
ทุกอย่างถูกวางแผนการไว้อย่างรัดกุม
พวกเขากำลังกลั้นหายใจอยู่ในความมืด รอคอยการมาถึงของช่วงเวลาสุดท้ายด้วยใจระทึก
ดาบนั้นคืนสนอง…เหมือนอย่างที่อ๋องผู้สำเร็จราชการเคยทำกับเกาอ๋องในอดีต ฉวยโอกาสที่ไม่ทันระวังตัวเล่นงานให้ถึงชีวิต
คนสามร้อยคนมาซุ่มซ่อนริมทางที่เจ้าตัวต้องผ่านเวลาเข้าวังหลวงแล้ว
นับแต่ขึ้นปีใหม่ วันใดมีประชุมราชสำนักซู่เซิ่นฮุยจะปฏิบัติกิจวัตรตายตัวอย่างเคร่งครัด นั่นคือออกจากจวนยามอิ๋นตรงเป็นประจำ ใช้เวลาระหว่างทางไม่ถึงสองเค่อก็มาถึงวังหลวงแล้วเข้าไปทางประตูทักษิณ
ในยามนี้ขุนนางราชสำนักยังไม่มา หลังเข้าวังหลวงเขาจะไปหอเหวินหลินก่อน นั่งสะสางงานราชกิจที่นั่นอยู่สักพัก ครั้นพอใกล้ยามเหม่าเหล่าขุนนางเริ่มทยอยกันมาแล้ว เขาถึงค่อยออกจากหอเหวินหลินไปร่วมประชุมราชสำนักที่ตำหนักเซวียนเจิ้ง
ไม่ว่าสภาพอากาศเป็นเช่นไร ฝนจะตกฟ้าจะร้อง ชายหนุ่มก็ปฏิบัติกิจวัตรดังนี้ไม่มีเปลี่ยน
คนสามร้อยคนนี้ซ่อนตัวอยู่สองข้างชายคาตำหนักอันทอดตัวไปสู่ประตูทักษิณ เขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด กำลังคนทั้งหมดจะลุกขึ้นมาระดมยิงธนูใส่พร้อมกัน ต่อให้ซู่เซิ่นฮุยเป็นเทพสวรรค์จากชั้นฟ้าก็ต้องถูกยิงตายอย่างหนีไม่พ้น