เขาได้ล่วงรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของหลี่ไท่เฟยตั้งแต่ตอนที่ซู่เซิ่นฮุยสู่ขอเจียงหานหยวนเมื่อปีกลาย
หลี่ไท่เฟยลอบติดต่อกับเขาผ่านหลันไทเฮาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จนมีความคิดเห็นตรงกัน
ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งตระหนักว่าที่แท้ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยที่ถูกตนมองข้ามมาตลอดผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้แต่เกาเฮ่อที่เขาต้องให้เกียรติเวลาเจอกันยังเป็นคนของนาง นางชิงชังซู่เซิ่นฮุยสุดหัวใจ ต้องกำจัดให้ตายตกเท่านั้นถึงจะเป็นสุขได้ หลันหรงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็จริง ทว่าพอคาดเดาได้ว่าคงไม่แคล้วเกิดจากการแก่งแย่งชิงดีของฝ่ายในในอดีต แต่ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเพราะอะไร ความประสงค์ของนางก็ตรงกับจุดมุ่งหมายของเขาพอดี สำหรับเขาแล้วการกำจัดซู่เซิ่นฮุยทิ้งมีผลดีเหลือคณานับ ไม่มีผลเสียเลยแม้แต่ประการเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะพาตนเองมาเป็นส่วนหนึ่งในผู้ร่วมแผนการของนางด้วยท่าทีนอบน้อม
ซู่เซิ่นฮุยถูกคนร้ายลอบสังหารหน้าประตูจวนในคืนแต่งงานคืนนั้น เรื่องนี้หลันหรงไม่ได้เป็นผู้บงการ แค่ใช้อำนาจในมือช่วยอำนวยความสะดวกลับๆ เปิดทางให้นักฆ่าแฝงตัวเข้าไปดักซุ่มอย่างราบรื่น คนที่จัดการเรื่องนี้คือเกาเฮ่อที่ตอนนั้นเจื่อนจางไปจากสายตาทุกคนต่างหาก
ครั้งนั้นหลันหรงนึกว่าจะต้องสำเร็จเป็นแม่นมั่น ปรากฏว่ากลับล้มเหลว คืนนั้นเขาถูกซู่เซิ่นฮุยเรียกตัวไปซักถาม หลังจากนั้นมาก็หวาดกลัวจับใจ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม และไม่ยอมตอบตกลงช่วยเหลือหลี่ไท่เฟยง่ายๆ อีก จวบจนปลายปีกลายเมื่อได้รู้ว่าหญิงสูงวัยผู้นี้มีพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้อยู่ในมือ เขาถึงเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเหตุใดเกาเฮ่อถึงได้กล้าก่อเหตุอุกอาจ
แผนการครานี้เกาเฮ่อก็เป็นคนเสนอความคิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน
คนผู้นี้สนิทสนมแน่นแฟ้นกับหลี่ไท่เฟย ที่ผ่านมาเอาแต่เก็บตัวเงียบ ตอนนี้เมื่อโอกาสเป็นใหญ่มาถึงก็แสร้งทำท่าคับอกคับใจ พร่ำบอกว่าตนเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี ตั้งใจสนับสนุนค้ำจุนฮ่องเต้น้อย แต่แท้ที่จริงมีจุดประสงค์ใดในใจ มีหรือหลันหรงจะไม่รู้
เกาเฮ่อมีหลานสาววัยออกเรือนอยู่คนหนึ่ง จึงหมายตาตำแหน่งฮองเฮาเช่นกัน เห็นว่ายังได้รับความเห็นชอบจากอดีตฮ่องเต้อีกด้วย
หลันหรงเหยียดหยามคนผู้นี้ มองว่าเป็นแค่คนมักใหญ่ใฝ่สูงที่อาศัยบารมีสตรีพยายามเข้ามากุมอำนาจแทนที่ซู่เซิ่นฮุย แต่เรื่องเหล่านี้เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง คนที่พวกเขาต้องร่วมกันจัดการอย่างเร่งด่วนในตอนนี้คือซู่เซิ่นฮุยต่างหาก
แผนการครั้งนี้ผ่านการทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างถ้วนถี่ แม้แต่หลันหรงที่มีนิสัยรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษพิจารณาแล้วยังเห็นว่าทำได้
ปิดบังฮ่องเต้น้อย ลงมือก่อนแล้วค่อยกราบทูลทีหลัง เจ้าตัวจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน ทว่านี่ถือเป็นผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของแผนการนี้แล้ว
ถึงอย่างไรตัวเขาก็มีหลี่ไท่เฟยเป็นเกราะกำบัง พระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้ก็ยังอยู่ หลังจบเรื่องต่อให้ฮ่องเต้น้อยจะเอาผิดจริง เขาก็สามารถวิงวอนขอความเมตตาว่าต้องทำเพราะความจำเป็นบังคับ
ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือทุกวันนี้แม้ภายนอกฮ่องเต้น้อยจะไม่ได้แตกหักกับอ๋องผู้สำเร็จราชการอย่างเปิดเผย แต่ในใจจะต้องเกิดความเคลือบแคลงแน่นอนอยู่แล้ว ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยกันเลยทีเดียว
จิ้งจอกเฒ่าเกาเฮ่อกล้าก่อเหตุร้ายแรงก็ต้องเป็นเพราะมองจุดนี้ออกเช่นกัน และต้องคิดด้วยว่าขอเพียงกำจัดซู่เซิ่นฮุยได้ ต่อไปฮ่องเต้น้อยก็จะตกอยู่ในกำมือตนเอง แผนลอบสังหารจึงถูกนำมาใช้งานจริงเพราะอย่างนี้
หลันหรงไตร่ตรองครบถ้วนทุกด้าน คิดคำนวณเผื่อไว้ด้วยซ้ำว่าหลังจบเรื่องตนจะกำจัดหลี่ไท่เฟยและเกาเฮ่อทิ้งอย่างไร อย่างเดียวที่มองข้ามไปคือไม่คิดว่าฮ่องเต้น้อยจะมีท่าทีต่อต้านแผนการรุนแรงถึงเพียงนี้
เขาหน้าซีดไร้สีเลือด ก่อนจะตะเกียกตะกายคลานเข้าไปคุกเข่ากับพื้น
“ฝ่าบาท! ไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาพูดพลางกอดขาซู่เจี่ยนแน่นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“ฝ่าบาท! ธนูง้างสายแล้วดึงกลับมาไม่ได้! เรื่องมาถึงขั้นนี้ ฝ่าบาทยังทรงคิดอีกหรือว่าหากถอนกำลังคนออกมา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฝ่าบาทกับเขาจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้ แม้ฝ่าบาททรงประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ยอมเลิกราแน่ มีแต่จะต้องฆ่าแกงกันให้ตาย…”
จย่าซิวนำผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งเข้ามาในจังหวะนั้น “ฝ่าบาท!”
“จย่าซิวฟังคำบัญชา! ใครมันกล้าขวางเราให้ฆ่าไม่เว้น!”
หลันหรงเห็นฮ่องเต้น้อยก้มหน้าลงถลึงตาวาววับดุดันจ้องมองตนก็นึกถึงภาพที่ตนเองเกือบทิ้งชีวิตไว้ใต้คมกระบี่อีกฝ่ายในคืนส่งท้ายปีขึ้นมาได้ เขาสะท้านเฮือกทีหนึ่ง พอปล่อยมือออกก็ถูกฮ่องเต้น้อยถีบกระเด็น
จย่าซิวได้สติ เห็นฮ่องเต้น้อยวิ่งเต็มเหยียดออกจากตำหนักก็รีบตามไปบ้าง