หลี่ไท่เฟยให้คนประคองจนกระหืดกระหอบตามมาถึงตรงนี้ หน้าตาคล้ำเครียด แก้มหย่อนยานทั้งสองข้างสั่นกระเพื่อมไม่หยุด “เร็วเข้าสิ! รีบนำกำลังคนไปสกัดฮ่องเต้เอาไว้ให้ได้! เกิดอะไรขึ้นข้าจะออกหน้ารับให้เอง! ครานี้หากแผนล้มเหลวจนมันรอดไปได้ ฮ่องเต้อาจไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าอย่าได้คิดจะพบจุดจบที่ดีแม้แต่คนเดียว!”
หลันหรงรู้ถึงผลได้ผลเสียดี เขารีบตะกายร่างขึ้นจากพื้น วิ่งออกจากตำหนักบรรทมอย่างร้อนรน ไล่ตามไปทางประตูทักษิณ
จากตำหนักฮ่องเต้ถึงประตูทักษิณของวังหลวงขวางกั้นด้วยกำแพงสามชั้น ประตูไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง ปกติหากเดินเร็วหน่อยและเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเค่อ
จย่าซิวตะโกนสั่งข้างหน้าให้รีบเปิดประตูไปตลอดทาง คนเฝ้าประตูทำตามอย่างว่องไว ซู่เจี่ยนวิ่งเต็มเหยียดผ่านไปโดยไร้อุปสรรคกีดขวาง จนมาถึงกำแพงวังหลวงชั้นนอกสุดโดยไม่หยุดพัก
ทว่าเมื่อประตูทักษิณอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว ฝีเท้าของเขากลับพลันชะลอลงเสียอย่างนั้น
จะเกิดอะไรขึ้นที่ประตูทักษิณ เมื่อครู่จย่าซิวพอจะคาดเดาได้แล้ว
แม้เขาเป็นคนของฮ่องเต้น้อย และบัดนี้อ๋องผู้สำเร็จราชการกับฮ่องเต้น้อยขัดแย้งกันอยู่เงียบๆ แต่ใจเขาก็ยังเคารพยกย่องอ๋องผู้สำเร็จราชการกับชายาอย่างมาก ได้ยินข่าวที่กำลังลือกันหนาหูอยู่ข้างนอกทีไรก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นความจริง ครั้นได้รู้ว่าฮ่องเต้น้อยจะออกมายับยั้งเหตุลอบสังหารที่กำลังจะเกิดขึ้น จย่าซิวยังแอบโล่งอกอยู่เงียบๆ แทบอยากติดปีกบินไปประตูทักษิณเลยด้วยซ้ำ พอมาถึงตรงนี้แล้วเห็นผู้เป็นนายชะงักเท้า เขาก็อดจะผงะไปไม่ได้ ก่อนจะหยุดวิ่งตามแล้วมองไป เห็นฮ่องเต้น้อยเอามือจับประตูหอบหายใจพลางเอ่ยด้วยนัยน์ตาแดงฉาน “ถ่ายทอดคำสั่งของเราลงไปเดี๋ยวนี้ ใครกล้าฆ่าเขา เราจะสั่งประหารมันเก้าชั่วโคตร!”
เด็กหนุ่มเว้นช่วงไปเล็กน้อย “จากนั้นเจ้านำกำลังคนพาเขาไปส่งที่จวนด้วยตนเอง รอคำสั่งจากข้า!”
เสียงพูดสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ทว่ากระจ่างชัดเจนในทุกพยางค์
จย่าซิวรู้ว่าคำสั่งนี้หมายถึงการกักบริเวณ
หัวใจของเขาหนักอึ้ง ทว่าก็รับคำบัญชาทันควัน “รับด้วยเกล้า!”
พูดจบก็หมุนตัวนำกองทหารวังหลวงวิ่งออกไปยังประตูทักษิณ
หลังสั่งจบซู่เจี่ยนมองตามหลังจย่าซิวจนลับสายตา ทันใดนั้นแข้งขาก็อ่อนยวบเหมือนเรี่ยวแรงในกายถูกสูบไปจนหมดสิ้น แค่จะยืนยังยืนไม่อยู่
เขาพิงหลังเข้ากับกำแพงวังหลวง ค่อยๆ ไถลตัวลงไปนั่งกับพื้น
“ฝ่าบาท!”
หลันหรงตามมาจนทัน เห็นอย่างนั้นก็คาดเดาไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่กล้าตามออกไปอีก ได้แต่คุกเข่าอยู่อีกทาง อธิษฐานอยู่ในใจขออย่าให้ทางเกาเฮ่อเกิดเหตุผิดพลาดเป็นอันขาด
เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละนิด ซู่เจี่ยนเอาแต่นั่งอยู่บนถนนในวังหลวงราวกับกลายเป็นหินไปแล้ว ถัดไปมีหลันหรงนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้กัน ไกลออกไปอีกคือขันที นางกำนัล และทหารองครักษ์ที่คุกเข่าตามเป็นแถวยาวเหยียด
เสียงกลองเนิบทุ้มบอกเวลายามอิ๋นหกเค่อกังวานแว่วมาจากหอกลองในวังหลวง
ในวันปกติเมื่อถึงเวลานี้ซู่เซิ่นฮุยจะผ่านประตูทักษิณเข้ามาข้างในแล้ว และอยู่ระหว่างทางไปหอเหวินหลิน
ผ่านไปครู่หนึ่งหลันหรงก็ใจเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นจย่าซิววิ่งกลับเข้ามา แต่พบว่าอีกฝ่ายปราดเข้าไปตรงหน้าฮ่องเต้น้อยแล้วรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท! ไม่พบอ๋องผู้สำเร็จราชการพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องไม่ได้เสด็จเข้าวังหลวงจากทางนั้น!”
ซู่เจี่ยนเงยหน้าพรวด ตะลึงงันอยู่อึดใจหนึ่งก็ดีดตัวขึ้นจากพื้น วิ่งถลันออกไปข้างหน้า
เขาวิ่งมาถึงหน้าประตูทักษิณ
ท้องฟ้ายังมืดอยู่ ทางเดินว่างเปล่า ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว
แสงอ่อนรำไรเริ่มจับขอบฟ้า ใกล้ยามอิ๋นแล้ว
ขุนนางราชสำนักทยอยกันเดินเข้าประตูทักษิณเหมือนปกติ มายืนรวมตัวกันหน้าตำหนักเซวียนเจิ้ง
ประชุมราชสำนักวันนี้จะต้องหนักหน่วงไม่เบา
ตั้งแต่ขุนนางผู้ใหญ่ชั้นสูงเช่นเสียนอ๋องและฟางชิงลงไปถึงขุนนางทั่วไป ไม่มีใครกล้าผ่อนคลายแม้แต่คนเดียว ครั้นได้เวลาทุกคนก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้อ๋องผู้สำเร็จราชการที่ไม่เคยขาดประชุมถึงยังไม่มา ไม่เพียงเท่านั้นเสนาบดีกรมทหารเกาเฮ่อและหลันหรงก็หายหน้าไปอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นกัน
ทุกคนอดซุบซิบพูดคุยกันด้วยความกังขาไม่ได้
จังหวะนั้นเสียงลั่นกลองบอกยามอิ๋นตรงก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงประกาศเรียกขึ้นตำหนักเป็นกังวานเจื้อยแจ้วที่ดังมาจากข้างใน
เหล่าขุนนางพากันเงียบเสียง รีบเข้าแถวเดินขึ้นตำหนักใหญ่ตามลำดับ แล้วต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อพบว่ามีคนยืนอยู่ข้างในแล้ว
คนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าสุด ใกล้กับแผ่นศิลาสลักประดับบันได
แสงจากในตำหนักส่องออกมาลากเงาดำยาวเหยียดจากใต้เท้าเขา
อ๋องผู้สำเร็จราชการซู่เซิ่นฮุยนั่นเอง
ที่แท้เจ้าตัวก็มาถึงนานแล้ว
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้ถึงเข้าตำหนักมายืนประจำตำแหน่งล่วงหน้าอยู่คนเดียว
เมื่อเหล่าขุนนางเข้าประจำที่ ซู่เซิ่นฮุยก็หันไปพูดกับขันทีประจำตำหนักด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเป็นปกติ “ทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นราชบัลลังก์”