ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 95-96 – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 95-96

หลี่ไท่เฟยให้คนประคองจนกระหืดกระหอบตามมาถึงตรงนี้ หน้าตาคล้ำเครียด แก้มหย่อนยานทั้งสองข้างสั่นกระเพื่อมไม่หยุด “เร็วเข้าสิ! รีบนำกำลังคนไปสกัดฮ่องเต้เอาไว้ให้ได้! เกิดอะไรขึ้นข้าจะออกหน้ารับให้เอง! ครานี้หากแผนล้มเหลวจนมันรอดไปได้ ฮ่องเต้อาจไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าอย่าได้คิดจะพบจุดจบที่ดีแม้แต่คนเดียว!”

หลันหรงรู้ถึงผลได้ผลเสียดี เขารีบตะกายร่างขึ้นจากพื้น วิ่งออกจากตำหนักบรรทมอย่างร้อนรน ไล่ตามไปทางประตูทักษิณ

จากตำหนักฮ่องเต้ถึงประตูทักษิณของวังหลวงขวางกั้นด้วยกำแพงสามชั้น ประตูไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง ปกติหากเดินเร็วหน่อยและเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเค่อ

จย่าซิวตะโกนสั่งข้างหน้าให้รีบเปิดประตูไปตลอดทาง คนเฝ้าประตูทำตามอย่างว่องไว ซู่เจี่ยนวิ่งเต็มเหยียดผ่านไปโดยไร้อุปสรรคกีดขวาง จนมาถึงกำแพงวังหลวงชั้นนอกสุดโดยไม่หยุดพัก

ทว่าเมื่อประตูทักษิณอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว ฝีเท้าของเขากลับพลันชะลอลงเสียอย่างนั้น

จะเกิดอะไรขึ้นที่ประตูทักษิณ เมื่อครู่จย่าซิวพอจะคาดเดาได้แล้ว

แม้เขาเป็นคนของฮ่องเต้น้อย และบัดนี้อ๋องผู้สำเร็จราชการกับฮ่องเต้น้อยขัดแย้งกันอยู่เงียบๆ แต่ใจเขาก็ยังเคารพยกย่องอ๋องผู้สำเร็จราชการกับชายาอย่างมาก ได้ยินข่าวที่กำลังลือกันหนาหูอยู่ข้างนอกทีไรก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นความจริง ครั้นได้รู้ว่าฮ่องเต้น้อยจะออกมายับยั้งเหตุลอบสังหารที่กำลังจะเกิดขึ้น จย่าซิวยังแอบโล่งอกอยู่เงียบๆ แทบอยากติดปีกบินไปประตูทักษิณเลยด้วยซ้ำ พอมาถึงตรงนี้แล้วเห็นผู้เป็นนายชะงักเท้า เขาก็อดจะผงะไปไม่ได้ ก่อนจะหยุดวิ่งตามแล้วมองไป เห็นฮ่องเต้น้อยเอามือจับประตูหอบหายใจพลางเอ่ยด้วยนัยน์ตาแดงฉาน “ถ่ายทอดคำสั่งของเราลงไปเดี๋ยวนี้ ใครกล้าฆ่าเขา เราจะสั่งประหารมันเก้าชั่วโคตร!”

เด็กหนุ่มเว้นช่วงไปเล็กน้อย “จากนั้นเจ้านำกำลังคนพาเขาไปส่งที่จวนด้วยตนเอง รอคำสั่งจากข้า!”

เสียงพูดสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ทว่ากระจ่างชัดเจนในทุกพยางค์

จย่าซิวรู้ว่าคำสั่งนี้หมายถึงการกักบริเวณ

หัวใจของเขาหนักอึ้ง ทว่าก็รับคำบัญชาทันควัน “รับด้วยเกล้า!”

พูดจบก็หมุนตัวนำกองทหารวังหลวงวิ่งออกไปยังประตูทักษิณ

หลังสั่งจบซู่เจี่ยนมองตามหลังจย่าซิวจนลับสายตา ทันใดนั้นแข้งขาก็อ่อนยวบเหมือนเรี่ยวแรงในกายถูกสูบไปจนหมดสิ้น แค่จะยืนยังยืนไม่อยู่

เขาพิงหลังเข้ากับกำแพงวังหลวง ค่อยๆ ไถลตัวลงไปนั่งกับพื้น

“ฝ่าบาท!”

หลันหรงตามมาจนทัน เห็นอย่างนั้นก็คาดเดาไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่กล้าตามออกไปอีก ได้แต่คุกเข่าอยู่อีกทาง อธิษฐานอยู่ในใจขออย่าให้ทางเกาเฮ่อเกิดเหตุผิดพลาดเป็นอันขาด

เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละนิด ซู่เจี่ยนเอาแต่นั่งอยู่บนถนนในวังหลวงราวกับกลายเป็นหินไปแล้ว ถัดไปมีหลันหรงนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้กัน ไกลออกไปอีกคือขันที นางกำนัล และทหารองครักษ์ที่คุกเข่าตามเป็นแถวยาวเหยียด

เสียงกลองเนิบทุ้มบอกเวลายามอิ๋นหกเค่อกังวานแว่วมาจากหอกลองในวังหลวง

ในวันปกติเมื่อถึงเวลานี้ซู่เซิ่นฮุยจะผ่านประตูทักษิณเข้ามาข้างในแล้ว และอยู่ระหว่างทางไปหอเหวินหลิน

ผ่านไปครู่หนึ่งหลันหรงก็ใจเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นจย่าซิววิ่งกลับเข้ามา แต่พบว่าอีกฝ่ายปราดเข้าไปตรงหน้าฮ่องเต้น้อยแล้วรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท! ไม่พบอ๋องผู้สำเร็จราชการพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องไม่ได้เสด็จเข้าวังหลวงจากทางนั้น!”

ซู่เจี่ยนเงยหน้าพรวด ตะลึงงันอยู่อึดใจหนึ่งก็ดีดตัวขึ้นจากพื้น วิ่งถลันออกไปข้างหน้า

เขาวิ่งมาถึงหน้าประตูทักษิณ

ท้องฟ้ายังมืดอยู่ ทางเดินว่างเปล่า ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว

 

แสงอ่อนรำไรเริ่มจับขอบฟ้า ใกล้ยามอิ๋นแล้ว

ขุนนางราชสำนักทยอยกันเดินเข้าประตูทักษิณเหมือนปกติ มายืนรวมตัวกันหน้าตำหนักเซวียนเจิ้ง

ประชุมราชสำนักวันนี้จะต้องหนักหน่วงไม่เบา

ตั้งแต่ขุนนางผู้ใหญ่ชั้นสูงเช่นเสียนอ๋องและฟางชิงลงไปถึงขุนนางทั่วไป ไม่มีใครกล้าผ่อนคลายแม้แต่คนเดียว ครั้นได้เวลาทุกคนก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้อ๋องผู้สำเร็จราชการที่ไม่เคยขาดประชุมถึงยังไม่มา ไม่เพียงเท่านั้นเสนาบดีกรมทหารเกาเฮ่อและหลันหรงก็หายหน้าไปอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นกัน

ทุกคนอดซุบซิบพูดคุยกันด้วยความกังขาไม่ได้

จังหวะนั้นเสียงลั่นกลองบอกยามอิ๋นตรงก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงประกาศเรียกขึ้นตำหนักเป็นกังวานเจื้อยแจ้วที่ดังมาจากข้างใน

เหล่าขุนนางพากันเงียบเสียง รีบเข้าแถวเดินขึ้นตำหนักใหญ่ตามลำดับ แล้วต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อพบว่ามีคนยืนอยู่ข้างในแล้ว

คนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าสุด ใกล้กับแผ่นศิลาสลักประดับบันได

แสงจากในตำหนักส่องออกมาลากเงาดำยาวเหยียดจากใต้เท้าเขา

อ๋องผู้สำเร็จราชการซู่เซิ่นฮุยนั่นเอง

ที่แท้เจ้าตัวก็มาถึงนานแล้ว

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้ถึงเข้าตำหนักมายืนประจำตำแหน่งล่วงหน้าอยู่คนเดียว

เมื่อเหล่าขุนนางเข้าประจำที่ ซู่เซิ่นฮุยก็หันไปพูดกับขันทีประจำตำหนักด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเป็นปกติ “ทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นราชบัลลังก์”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67

บทที่ 66 ผืนฟ้าเหนือฉางอันมืดลง ม่านราตรีคลี่คลุมอีกครั้ง เสียงย่ำกลองแจ้งเวลาวิกาลลอยมาจากหอกลอง หลังกำแพงสูงตระหง่านขอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 62-63

บทที่ 62 เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แส...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 64-65

บทที่ 64 จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สา...

community.jamsai.com