เกาเฮ่อสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทุกที ขณะที่หลี่ไท่เฟยทั้งตื่นตระหนกทั้งฉุนเฉียว หน้าตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด ตวาดเสียงแหลมว่าเขาไม่ได้ความ ทำการไม่เคยสำเร็จ ดีแต่ทำให้เสียเรื่อง
“ครานี้เจ้าเป็นต้นความคิด! วางกำลังคนซุ่มสังหารริมทางที่เขาใช้เข้าวังหลวง! เรื่องกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เจ้าคิดจะทำให้ข้ากับฝ่าบาทเดือดร้อนให้ได้หรืออย่างไร”
จิตสังหารดำทะมึนวาบขึ้นในดวงตาเกาเฮ่อ เขากำมือแน่นจนข้อกระดูกลั่นกร๊อบถี่ๆ “เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น พระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้!”
ประกาศพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้หมิงตี้ต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรง แล้วจู่โจมฆ่าซู่เซิ่นฮุยเสียที่นั่น
ไม่ว่าซู่เซิ่นฮุยจะมีจุดประสงค์ใด แต่สำหรับทางฝั่งเขาก็เหมือนชักดาบออกจากฝักแล้ว เหลือแค่ใช้คมอาวุธประจันหน้ากันเท่านั้น
ความจริงแล้วพระราชโองการฉบับสุดท้ายดังกล่าวเป็นที่พึ่งอันแข็งแกร่งที่สร้างความมั่นใจให้พวกเขามาโดยตลอด เปรียบได้ดังกระบี่คมกริบที่ทรงอำนาจอย่างหาใดเสมอเหมือน เป็นของวิเศษสูงสุดที่สามารถกดข่มฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ด้วยซ้ำ มีของวิเศษชิ้นนี้อยู่ในมือ พวกเขาย่อมมีจุดยืนอันชอบธรรมตลอดจนอำนาจในการเป็นฝ่ายลงมือสร้างเรื่องขึ้นมาก่อนได้ทุกเมื่อ
หลี่ไท่เฟยกัดฟันกรอด “อนุญาต!”
การเตรียมกำลังคนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตัวแปรที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือฮ่องเต้น้อยต่างหาก
นางนึกถึงท่าทีของเด็กหนุ่มเมื่อเช้าแล้วให้เสียใจนัก “ข้าผิดเองที่ชะล่าใจประเมินเขาสูงไป ดันเอาพระราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไปให้ ตอนนี้พระราชโองการจึงอยู่กับเขา! เจ้าตามข้าไปเอากลับมาเดี๋ยวนี้เลย!”
เกาเฮ่อบริภาษอยู่ในใจว่ายายแก่เลอะเลือนสิ้นดี พร้อมกันนั้นก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าหากฮ่องเต้น้อยไม่ให้ความร่วมมือก็อย่าตำหนิที่เขาบังคับด้วยกำลังแล้วกัน หลี่ไท่เฟยพูดจบก็หอบแฮกแล้วรีบลุกขึ้นเพื่อเดินไปตำหนักฮ่องเต้โดยมีข้าราชบริพารช่วยประคอง เขาเห็นดังนั้นจึงรีบตามไปบ้าง ไม่นึกว่าเพิ่งจะออกมาข้างนอก ปลายเท้าก็พลันสะดุดลง
ไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยมาด้วยตนเองตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนอยู่หน้าบันได มีจย่าซิวยืนอารักขาอยู่ด้านหลัง พกกระบี่ห้อยเอว หน้าตาขึงขัง
เสียงกลองเรียกเข้าประชุมเพิ่งจะดังมาจากตำหนักเซวียนเจิ้งอีกครั้ง พระอาทิตย์รุ่งอรุณเริ่มฉายแสงรำไรอยู่ข้างหลังฮ่องเต้น้อย ส่องสะท้อนให้ใบหน้าดวงนั้นดูซีดขาวกว่าปกติ ทว่าดวงตากลับเป็นประกายเย็นชาดุดัน พอเจ้าตัวตวัดตามองมา เกาเฮ่อก็สัมผัสได้ถึงอำนาจบารมีของโอรสสวรรค์จนต้องสะท้านวาบ ได้แต่คุกเข่าหมอบคำนับ
หลี่ไท่เฟยเอ่ย “ฝ่าบาทมาได้จังหวะพอดี! เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีทางให้ถอยได้อีกแล้ว จะต้องนำพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้ออกมาแก้ปัญหาเดี๋ยวนี้เลย”
เกาเฮ่อสัมผัสได้ว่าฮ่องเต้น้อยเบนสายตาจากหลี่ไท่เฟยมามองตนเอง เขาสะท้านร่างอีกคำรบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอธิบาย “ฝ่าบาท! จากสถานการณ์ตอนนี้ไม่เราก็เขาต้องตายไปข้างเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถูกแล้วว่าก่อนหน้านี้เขายังแสร้งนอบน้อมยอมอยู่ใต้อำนาจฝ่าบาทอยู่บ้าง แต่หลังจากนี้เขาจะต้องก่อเหตุขึ้นแน่นอน ฝ่าบาททรงตกอยู่ในอันตรายแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ จะทรงลังเลไม่ได้อีกแล้ว!”
พูดจบก็เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นจ้องมองตนเองเขม็ง จึงได้แต่ก้มหน้าหมอบคู้ลงไปอีกครั้ง ผ่านไปสักพักระหว่างกำลังกระสับกระส่ายเกาเฮ่อก็ได้ยินเสียงเนือยๆ ดังขึ้นเหนือกระหม่อม “ไปเข้าประชุมราชสำนักกันให้หมด! ในการประชุมวันนี้คุมคนของเจ้าไว้ให้ดี ไม่ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการว่าอย่างไร จงดำเนินการตามความประสงค์ของเขาทุกประการ อย่าได้โต้แย้งอีก”
เกาเฮ่อดีดตัวพรวดขึ้นมาอย่างลืมตัว “ฝ่าบาท! เขาจะเสนอชื่อหญิงสกุลเจียง…”
“เราสั่งให้เจ้าเข้าประชุมและคุมคนของเจ้าให้ดี ไม่ได้ยินหรือไร”
ฮ่องเต้น้อยพลันตัดบทกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
เกาเฮ่อสะดุ้งวาบ
“ไม่เสนอชื่อนาง จะให้เสนอชื่อเจ้าหรือ” เด็กหนุ่มแค่นเสียง “นางใช่ผู้เหมาะสมที่สุดที่จะควบคุมการทำสงครามหรือไม่ เรารู้ดียิ่งกว่าเจ้า! หากยังไม่ได้ส่งทหารออกไปยังพอว่า นี่เปิดศึกผลาญทรัพยากรแผ่นดินมาถึงเพียงนี้ เสียเงินไปแล้ว ตระเตรียมการแล้ว จะให้ยกเลิกง่ายๆ หรือ แต่จนป่านนี้พวกเจ้าก็ยังไม่เลิกร้องแรกขอให้ถอนทัพแล้วเจรจากันโดยสันติ เราอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าหากพวกเจ้าไม่โง่เขลาจนถึงขั้นถูกใบไม้ใบเดียวบังตา* ก็ต้องจงใจอยากให้ต้าเว่ยเราล่มจม!”
เกาเฮ่อไม่เคยเห็นฮ่องเต้น้อยวางอำนาจกดดันผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน เขาอดรู้สึกร้อนตัวเงียบๆ ไม่ได้ ก่อนจะรีบโขกศีรษะ “ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมมีความจงรักภักดีเป็นที่ตั้ง ตะวันจันทราเป็นพยานได้! เพียงแต่ก่อนหน้านี้ได้รับพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้ กลัวว่าเขาจะใช้สงครามสร้างความชอบให้ตนเองแล้วกลายเป็นภัยร้ายต่อฝ่าบาท เมื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว จึงจำใจเลือกทางที่เสียหายน้อยที่สุดเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ!”