พูดจบก็หมอบกรานลงไปอีกครั้ง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงหลี่ไท่เฟยพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างร้อนรน แต่ไม่ได้ยินฮ่องเต้น้อยพูดอะไรอีก เขาเหลือบตาขึ้นมอง เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาแต่แหงนหน้ามองไปข้างบน คล้ายกำลังจับจ้องสิ่งหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ พอลองเอี้ยวหน้ามองตามก็พบว่าสิ่งนั้นคือตัวชือเหวิ่นสูงใหญ่ทำจากแก้วที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดหลังคา
มองขึ้นไปจากมุมนี้ ชือเหวิ่นเชิดเศียรตั้งตรงเสียดเมฆ หลุบตามองสรรพชีวิตเบื้องล่างอย่างผู้อยู่เหนือกว่า
เขาไม่เข้าใจท่าทีฮ่องเต้น้อย และไม่กล้าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ทำได้เพียงก้มหน้าลงอีกครั้ง คาดเดาไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มมีจุดประสงค์ใดกันแน่ ยิ่งเห็นจย่าซิวจ้องมองตนเองก็ยิ่งร้อนรนจนไม่กล้าขยับตัว ระหว่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั้น เสียงเดิมก็พลันดังเข้าหูเป็นครั้งที่สอง
“ให้คนของเจ้าประสานกับหลันหรงควบคุมกองทหารประตูนภากาศ สกัดเฉินหลุนไว้นอกวังหลวง วันนี้หลังเลิกประชุมราชสำนักเราจะรั้งตัวอ๋องผู้สำเร็จราชการไว้เอง”
เด็กหนุ่มบอกเรียบๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไปโดยมีจย่าซิวตามหลัง
เกาเฮ่อได้สติหลุดจากภวังค์ หัวใจเต้นรัวแรงอยู่ในอก ยินดีเจียนคลั่ง
เขาเข้าใจแล้ว! ในที่สุดฮ่องเต้น้อยก็ตัดสินใจได้เสียที!
การศึกทางเหนือยังมองไม่ออกว่าจะจบลงอย่างไร ด้วยความเจ้าเล่ห์ของซู่เซิ่นฮุย ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะงัดข้อกับฮ่องเต้น้อยต่อหน้าขุนนางในการประชุมราชสำนัก เว้นเสียแต่จะไม่กลัวตกเป็นที่ติฉินของผู้คนทั้งใต้หล้าเท่านั้น ถึงจะแข็งข้อใส่อย่างเปิดเผย…หากจะทำเช่นนั้นจริง ซู่เซิ่นฮุยคงไม่ต้องเปลืองแรงวางแผนสงครามใหญ่ชายแดนเหนือครั้งนี้ขึ้นมา อีกประการหนึ่งในตำหนักยังมีจย่าซิวนำคนจับตาเฝ้าดูอยู่ ชายหนุ่มทำอะไรโฉ่งฉ่างในการประชุมเช้านี้ไม่ได้แน่ ต่อให้อยากตอบโต้เขาก็ต้องรอให้ประชุมเสร็จก่อน
เห็นทีอีกฝ่ายคงกระเสี้ยนกระสันอยากดันหญิงสกุลเจียงขึ้นรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เต็มแก่ ถึงได้เข้าประชุมราชสำนักตามแผนการเดิม
สำหรับพวกเขาการควบคุมความเคลื่อนไหวของเฉินหลุนคือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้
ซู่เซิ่นฮุยคงคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่าฮ่องเต้น้อยจะเคลื่อนไหวเร็วกว่าก้าวหนึ่ง วันนี้หลังเลิกประชุม รอจนขุนนางออกไปแล้ว ฮ่องเต้น้อยจะฆ่าเจ้าตัวกลางตำหนักอย่างนั้นหรือ
แต่พริบตาเดียวเกาเฮ่อก็ปฏิเสธการคาดเดานี้ หากเขาเป็นฮ่องเต้น้อย สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงชิงอำนาจกลับมาแล้วจับอีกฝ่ายขัง ละเว้นชีวิตไว้ เพื่อใช้เป็นตัวควบคุมกองทัพที่เยี่ยนเหมินต่อไป รอให้เสร็จสงครามและดึงอำนาจทางการทหารกลับคืนมาก่อน เมื่อถึงเวลานั้นแค่พูดคำเดียวก็สามารถชี้เป็นชี้ตายซู่เซิ่นฮุยได้อยู่แล้ว
“น้อมรับพระบัญชา!”
เกาเฮ่อโขกศีรษะให้แผ่นหลังที่คล้อยห่างออกไป รู้สึกสงบใจได้เสียที
ซู่เจี่ยนเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าสู่ตำหนักใหญ่ ฝ่าเท้าโหวงหวิวเหมือนย่างย่ำอยู่บนเมฆ
เช้าตรู่วันนี้เขากลับจากประตูทักษิณมาที่ตำหนักบรรทมด้วยความรู้สึกมึนตื้อ พอได้ยินเสียงย่ำกลองเรียกเข้าประชุมลอยแว่วมาจากทางตำหนักเซวียนเจิ้งก็อยากปิดประตูตำหนักให้แน่นแล้วไม่ออกไปข้างนอกอีกเลย จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเสด็จอาสามของตนไปชั่วชีวิต
ทว่าเสียงกลองเรียกประชุมที่สร้างความพรั่นพรึงให้เขายังคงดังไม่หยุด
เมื่อข้าราชบริพารนำความมาบอกเป็นครั้งที่สามว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการและเหล่าขุนนางรอฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการอยู่ในตำหนักเซวียนเจิ้ง เขาก็ค่อยๆ กลับมามีสติโดยสมบูรณ์
เรื่องราวลุกลามมาถึงขั้นนี้ เขาหนีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
นี่เป็นทางตันที่เขาต้องเผชิญหน้าตรงๆ
เมื่อก่อนหากมีคนบอกเขาว่าสักวันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาจะต้องแค่นหัวเราะเสียงขึ้นจมูกใส่ แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าหากเสด็จอาสามของเขาอยากได้ราชบัลลังก์ เขาจะรีบยกให้ด้วยความยินดีเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้
เขาไม่อาจทำได้
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดตนเองถึงได้เดินมาถึงจุดนี้
เขาออกคำสั่งให้จัดการคนที่เคยไว้ใจที่สุดด้วยตนเอง
เรื่องทั้งหมดดูเหลวไหลเหลือเชื่อ ไม่ควรเกิดขึ้นได้จริง เหมือนเป็นฝันร้ายอย่างนั้น
คิดแล้วก็แค้นใจนัก แค้นเสด็จพ่อที่แม้ตายไปก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เขาอยู่อย่างเป็นสุข แค้นหลี่ไท่เฟยที่ยังมีชีวิตอยู่ แค้นเกาเฮ่อกับหลันหรง แค้นทุกคนที่ผลักเขามาอยู่ในหุบเหวที่ไม่อาจหวนกลับ
หากไม่มีคนเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะยังเป็นเหมือนที่ผ่านมา
ทุกคนรวมหัวกันพาเขามายืนตรงหุบเหวอย่างไม่มีวันย้อนกลับไปได้
ภายภาคหน้าเขาจะไม่มีวันปล่อยคนเหล่านั้นไปเด็ดขาด
ซู่เจี่ยนหยุดยืนบนถนนกลางวังหลวง เหลือบตาแดงก่ำของตนขึ้นมองผ่านสายม่านมุกที่ห้อยบังหน้าผากไปยังยอดหลังคาสูงตระหง่านของตำหนักใหญ่ที่อาบแสงอรุณอยู่เบื้องหน้าพลางคิดในใจอย่างเย็นชา