กาลเวลาไหลรินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้านในตำหนักเซวียนเจิ้งค่อยๆ สว่างขึ้นเป็นลำดับ จนมองเห็นดวงหน้าที่แสดงความรู้สึกแตกต่างกัน
เหล่าขุนนางต่างฉงนสงสัย แต่เพราะเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการยังคงยืนประจำตำแหน่งด้านหน้าอย่างมั่นคง แผ่นหลังสงบนิ่ง จึงจำต้องสะกดความรู้สึกต่างๆ แล้วรอต่อไปบ้าง
ในที่สุดเมื่อท้องฟ้าสว่างจ้าหลันหรงก็ก้าวฉับๆ เข้ามาในตำหนักเป็นคนแรก ก้มหน้าเดินลิ่วไปหาตำแหน่งประจำภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้อง จากนั้นก็เอาแต่หลุบตายืนนิ่งไม่ขยับ คนถัดมาคือเกาเฮ่อ ทว่าผิดกับหลันหรง เจ้าตัวเชิดหน้าก้าวเดินอย่างองอาจมั่นใจ ระบายยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า ผงกศีรษะทักทายคนที่ได้ยินเสียงแล้วหันมามอง ปรายตามองหลันหรงด้วยสายตาเหยียดหยามตอนเดินผ่าน สุดท้ายก็หยุดยืนตรงตำแหน่งของตน
ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ที่เสียงอึงอลดังขึ้นในตำหนัก ร่างที่อยู่หน้าสุดยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับไม่ได้ยินเสียงใด
ผ่านไปอีกสักพักเสียงประกาศลากยาวก็ดังออกมาจากส่วนลึกของตำหนัก “ฮ่องเต้เสด็จ…”
ทุกคนมองขึ้นไป เห็นฮ่องเต้น้อยเดินเข้ามาโดยมีขบวนเกียรติยศนำหน้า
ซู่เซิ่นฮุยนำขุนนางบุ๋นบู๊ที่อยู่ข้างหลังคุกเข่ารับเสด็จ เด็กหนุ่มก้าวขึ้นฐานบัลลังก์ไปนั่ง สั่งให้ลุกขึ้น จากนั้นก็บอกด้วยเสียงต่ำขรึมว่าเช้าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายจึงพักเล็กน้อยถึงค่อยออกมา
เหล่าขุนนางพากันปลอบโยน
เวลานี้เป็นยามเหม่าสี่เค่อ
การประชุมราชสำนักวันนี้ล่าช้าไปถึงครึ่งชั่วยามเต็ม เมื่อเริ่มเปิดประชุมก็เป็นไปตามความคาดหมายของทุกคน ประเด็นแรกที่อ๋องผู้สำเร็จราชการยกขึ้นมาเสนอฮ่องเต้น้อยคือคำขอของเจียงจู่วั่งที่สร้างคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในราชสำนักเมื่อสามวันก่อน
ชายหนุ่มกล่าว “อดีตฮ่องเต้พระราชทานนามฉางหนิงให้ มิใช่เพราะนางเป็นบุตรสาวของใคร นางรู้จักภูมิประเทศแถบชายแดนเหนือโดยละเอียด สร้างผลงานทางการศึกเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ และได้รับการสนับสนุนจากแม่ทัพน้อยใหญ่ในกองทัพ นางมีความสามารถพอจะรับหน้าที่นี้ กระหม่อมคิดว่านอกจากนางแล้วก็ไม่มีผู้ใดมีความสามารถพอจะแบกรับตำแหน่งสำคัญนี้ได้อีก”
เสียนอ๋องก้าวออกมาแสดงความเห็นพ้องทันที ตามด้วยพวกฟางชิงที่ทยอยออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน
จากนั้นกลุ่มขุนนางที่ไม่กล้าออกเสียงก็พบว่าวันนี้เกาเฮ่อที่เคยเป็นหัวหอกคัดค้านเมื่อสามวันก่อนไม่พูดอะไรสักคำ
พอเกาเฮ่อไม่ออกเสียง พวกพ้องของเขาย่อมไม่กล้าทะเล่อทะล่าพูดอะไรเอง ได้แต่คอยเหลือบมองเขาเงียบๆ แต่วันนี้เขาเหมือนเป็นใบ้ จนแล้วจนรอดก็ไม่แสดงอากัปกิริยาใดๆ
ในสายตาคนจำนวนมาก ความคิดเห็นของเกาเฮ่อก็คือความคิดเห็นของฮ่องเต้น้อย
ประเด็นนี้จึงจบลงอย่างง่ายดาย
ข้อเสนอของอ๋องผู้สำเร็จราชการได้รับการเห็นชอบท่ามกลางเสียงเห็นพ้องทั้งท้องพระโรง
เจียงหานหยวนจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแทนบิดาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน กำกับควบคุมสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ทางเหนือในปัจจุบัน
ประเด็นใหญ่สุดในการประชุมราชสำนักวันนี้คลี่คลายอย่างรวดเร็ว ไม่มีการปะทะกันทางความคิดเห็นเหมือนอย่างที่คาดเดาไว้
หลังจบประเด็นนี้ซู่เซิ่นฮุยไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทางสีหน้าทั้งสิ้น เหมือนเร้นกายล่องหน พอเขาเงียบไป บรรยากาศในตำหนักก็ผ่อนคลายขึ้นทันตา
ขุนนางอาวุโสคนอื่นก้าวออกมาพูดเรื่องงานในกรมกองของตนตามปกติ แล้วถวายฎีการอหนังสือสั่งการจากฮ่องเต้น้อย
การประชุมดำเนินมาถึงช่วงท้ายในลักษณะนี้
ขุนนางจำนวนมากที่เมื่อคืนนอนไม่หลับเพราะกลัวว่าวันนี้จะถูกบีบให้เลือกข้างต่างลอบพรูลมหายใจกันถ้วนหน้าเหมือนได้รับอภัยโทษ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าจย่าซิวพกกระบี่ก้าวเข้าตำหนักอย่างไร้สุ้มเสียง มายืนเงียบในมุมไม่สะดุดตาใกล้ประตูตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้
สุดท้ายก็ได้เวลาเลิกประชุมเสียที
“ฝ่าบาทตรัสว่าหากวันนี้ไม่มีเรื่องอื่นใดจะรายงานแล้ว ให้เลิกประชุม…”
ขันทีประจำตำหนักที่ยืนข้างฐานราชบัลลังก์ลากเสียงประกาศยาวเหยียดอีกครั้ง พอสิ้นเสียงนั้น กลุ่มขุนนางเตรียมคำนับส่งเสด็จ นึกไม่ถึงว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการกลับก้าวออกจากแถวเป็นคำรบสอง
ทุกคนชะงักแล้วหันไปมอง เห็นเขาคำนับฮ่องเต้น้อยที่อยู่บนราชบัลลังก์ จากนั้นก็ยืดตัวยืนตรง
“กระหม่อมยังมีอีกเรื่องที่ต้องกราบทูลฝ่าบาท”