ลู่ซื่อกลับถึงวังอ๋อง นางไม่แม้แต่จะผลัดชุดถอดมงกุฎก็รีบร้อนไปที่ห้องของมู่ฝูหลัน บอกให้คนรับใช้ด้านข้างออกไปแล้วปิดประตู
“หลันเอ๋อร์ เคราะห์ดีข้าทำตามที่เจ้าบอก รุดไปที่ศาลบรรพชนตระกูลถึงหยุดยั้งไม่ให้พี่ชายของเจ้าพลั้งวาจาด้วยความโกรธจัดได้ทันเวลา เขายังคงหุนหันพลันแล่นเกินไป ถ้าเกิดให้เซี่ยฉางเกิงได้ยินเขาพูดจาลบหลู่หลิวไทเฮาแล้วนำความไปฟ้องนาง หวั่นใจว่าวันหน้าแคว้นฉางซาเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมยิ่งขึ้น”
มู่ฝูหลันนิ่งเงียบ
“เซี่ยฉางเกิงผู้นี้ ตอนมาสู่ขอเจ้าเมื่อสามปีก่อน ข้าแอบมองเขาจากที่ไกลๆ แค่แวบเดียว ยามนั้นเพียงรู้สึกว่าเขาสง่าองอาจผิดจากคนทั่วไป วันนี้ได้เผชิญหน้ากับเขา ถึงรู้ว่าเขากลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพทั้งที่ยังอายุน้อยได้เพราะอะไร เขาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ชายของเจ้า แต่ว่ากันถึงเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงกลับลึกล้ำเหนือชั้นกว่าอย่างที่พี่ชายเจ้าเทียบไม่ติด”
นางขมวดคิ้วแน่นอย่างกลัดกลุ้มใจ
“ข้าฟังน้ำเสียงเขาแล้วไม่ยินยอมปล่อยเจ้ากลับสกุลเดิมนะ เจ้าแต่งเข้าไปแล้ว คำพูดของเขาก็ไร้ช่องโหว่ใด ปัดเรื่องรับอนุให้พ้นตัวได้อย่างหมดจด ถ้าหากเขาดึงดันไม่ยอมวางมือแล้วตอแยไม่ลดละ เกรงว่าความปรารถนาของเจ้ายากจะเป็นจริงได้ในตอนนี้”
มู่ฝูหลันกล่าว “พี่สะใภ้ หลังงานเลี้ยงคืนนี้ ท่านให้เขามาหาข้าที่นี่เถอะ”
ลู่ซื่อกล่าวเสียงรัวเร็ว “หลันเอ๋อร์ เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้ารับปากจะช่วยเจ้าก็ย่อมไม่ผิดสัจจะ ความหมายของข้าคือคนผู้นี้รับมือได้ไม่ง่าย อยากบอกให้เจ้าระวังตัวไว้ก่อน เผื่อว่าเรื่องนี้ไม่อาจยุติโดยเร็วแล้วเจ้าจะผิดหวัง เจ้าวางใจได้ ต่อให้เขาไม่พยักหน้าตกลง ในเมื่อตัวเจ้ากลับมาแล้ว ขอแค่พี่ชายเจ้าอ้างเรื่องสกุลเซี่ยรับอนุโดยไม่ไว้หน้ากัน ยืนกรานไม่ปล่อยเจ้าไป ที่นี่คือแคว้นฉางซา เขาจะกล้ากระทำเรื่องใช้กำลังชิงคนรึ”
มู่ฝูหลันเอ่ยอย่างเข้าใจ “เซี่ยฉางเกิงรับมือได้ไม่ง่ายดายจริงๆ เจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้นี่เอง เรื่องราวยืดเยื้อคาราคาซังต่อไปล้วนไม่เป็นผลดีอันใดต่อพี่เซวียนชิงรวมถึงแคว้นฉางซาเรา ปัญหานี้เกิดขึ้นจากข้า แล้วก็เป็นเรื่องของข้ากับเขา ถึงพี่เซวียนชิงกับพี่สะใภ้พูดกับเขามากเพียงใดก็เป็นดังเช่นการเกาไม่ถูกที่คัน ข้ามิสู้พูดกับเขาเองให้แจ่มแจ้ง ให้มันจบลงเร็วที่สุดดีกว่า”
ลู่ซื่ออึ้งไป
“หลันเอ๋อร์ เซี่ยฉางเกิงผู้นี้มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายจริงๆ ข้ากลัวเจ้าต้านทานไม่ไหว”
“พี่สะใภ้วางใจได้ ข้ากับเขาถือได้ว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว จำต้องพูดกันให้รู้เรื่อง ไม่ว่าจะสมดังใจหมายหรือไม่ ข้าล้วนอยากลองดูสักตั้งเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อมองดูน้องสาวสามีที่ยิ้มน้อยๆ มองตนด้วยแววตากระจ่างใส
นางลังเลใจชั่วครู่ก่อนพยักหน้า “ก็ดี เช่นนั้นข้าไปบอกกับพี่ชายเจ้าเอง เจ้ามีเรื่องใดก็พูดกับเขาซึ่งๆ หน้าให้แจ่มแจ้ง หากเขายอมรับฟัง ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
มู่ฝูหลันกล่าวยิ้มๆ “ขอบคุณพี่สะใภ้เจ้าค่ะ”
ไม่นานม่านรัตติกาลก็คลี่คลุมลง
โถงงานเลี้ยงในวังอ๋องของแคว้นฉางซากำลังจัดโต๊ะสุราเลี้ยงรับรองแขกอยู่
เทียนเล่มใหญ่เท่าท่อนแขนเด็กตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวอยู่สองฝั่งซ้ายขวาเสมือนมังกรไฟสองตัว เปล่งแสงโชติช่วงส่องทั่วทั้งโถงตำหนักให้สว่างไสวดุจยามกลางวัน ใต้ชายคาด้านหน้าตำหนักแขวนเครื่องดนตรีไว้ทั้งสองมุม ส่วนด้านในวางกลองใหญ่บรรเลงประกอบพิธีการไว้ตรงเสาทิศใต้ จอกสุราฝังทองบนโต๊ะหยกเขียวด้านหน้าแถวแท่งเทียนยักษ์ทอประกายวิบวับล้อแสงไฟ
การตกแต่งประดับประดาทั้งหมดล้วนด้อยกว่าของเจ้าแผ่นดินขั้นเดียวเท่านั้น
ความโอ่อ่าหรูหราเฉกนี้มีก็แต่ในเรือนอาศัยของเชื้อพระวงศ์จึงจะได้เห็น
เบื้องหน้าแท่นที่นั่งเจ้าภาพทางทิศตะวันออก ตั้งรูปปั้นเต่าสำริดทางซ้าย รูปปั้นกระเรียนสำริดทางขวา ปล่อยไอควันหอมของอำพันทะเลออกมาทางปากไม่ขาดสาย