มิต้องเอ่ยถึงว่าเพลานี้เซี่ยฉางเกิงเป็นขุนนางคนสำคัญทรงอำนาจยิ่ง ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเหอซีประจำการเหลียงโจวนี้ ยามมอบหมายหน้าที่จะต้องประทานตราประกาศิต ให้สิทธิ์สั่งประหารในกองทัพ ปักธงผู้บัญชาการหน้าจวน อำนาจบารมีล้นเหลือ
และต่อให้เขาเป็นสามัญชน แต่ในฐานะสามีของท่านหญิงที่มาเยือนแคว้นฉางซาเพื่อเซ่นไหว้ท่านอ๋องผู้ล่วงลับ การแสดง ‘มารยาท’ เฉกนี้ก็มิชอบด้วยประการทั้งปวง
แต่บัญชาของท่านอ๋องไม่อาจขัดขืนได้
ขุนนางกรมพิธีการไต่ถามท่านเสนาบดี แต่ตัวลู่หลินเองก็งุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกดุจเดียวกัน เขาสอบถามจากชายาอ๋องก็ไม่ล่วงรู้ว่ามีเบื้องหลังอะไร ครั้นจะเกลี้ยกล่อมมู่เซวียนชิง อีกฝ่ายกลับไม่ให้เข้าพบ เขาได้แต่สะกดความรู้สึกหวาดหวั่นในใจ ดำเนินการไปตามคำสั่ง
เมื่อถึงวันที่สิบห้า ลู่หลินขอเข้าเฝ้ามู่เซวียนชิงอีกครั้ง พร่ำเตือนเขาว่าเซี่ยฉางเกิงป่าวประกาศว่าจะมาที่นี่เซ่นไหว้ท่านอ๋องผู้ล่วงลับ เขาไม่ควรล่วงเกินคนปานนี้ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไรก็ตาม
ทว่ามู่เซวียนชิงไม่รับฟังคำพูดของเขา สะบัดแขนเสื้อจากไป
ลู่หลินจนปัญญา ได้แต่ออกคำสั่งให้เปิดประตูเมืองรับคน ส่วนตนเองนำพาขุนนางใต้บังคับบัญชาไปยังศาลบูชาอดีตเจ้าแคว้นรอคอยเซี่ยฉางเกิงอยู่ที่นั่น
ด้านเซี่ยฉางเกิงเดินทางมาถึงเมืองเยวี่ยหลังเที่ยงวัน
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีคราม รองเท้าทรงสูงสีดำพื้นรองเท้าขาว เป็นเครื่องแต่งกายที่แสนธรรมดา มีผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนอยู่ด้านหลังซึ่งสวมชุดสามัญเฉกเดียวกัน ส่งผลให้ตอนควบม้ามาถึงประตูเมือง ทหารยามก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มท่าทางสุภาพสง่างามตรงหน้าผู้นี้คือสามีของธิดาอ๋องแคว้นฉางซา ผู้บัญชาการกองทัพหัวเมืองชื่อดังที่หนุ่มแน่นที่สุดของราชวงศ์ เพียงเห็นผู้ร่วมทางของเขาดูเหมือนพกอาวุธติดกาย จึงสกัดพวกเขาไว้เพื่อไต่ถามความเป็นมา
พวกผู้ติดตามของเซี่ยฉางเกิงล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เคยผาดโผนไปทั่วแม่น้ำฉางเจียง ดิ้นรนต่อสู้มากับเขาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม แม้ดูท่าทางเหมือนชาวบ้านทั่วไป ยามอยู่รวมในฝูงชนจะมองไม่เห็นตัว หากแท้จริงแล้วแต่ละคนล้วนเป็นโจรดุร้ายฆ่าคนตาไม่กะพริบ หลังเข้าสู่แคว้นฉางซา พวกเขานึกแปลกใจกับการรับรองแขกของอีกฝ่ายตั้งแต่แรก พอใกล้ถึงเมืองหลวงรอมร่อก็ยังไม่มีคนมาต้อนรับตามธรรมเนียมพื้นฐานที่สุด ซ้ำร้ายยังโดนทหารยามขวางหน้าซักไซ้อย่างไร้มารยาทอีก เป็นเหตุให้ความอดทนขาดผึง จะชักดาบปรี่เข้าใส่ด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ถูกเซี่ยฉางเกิงห้ามไว้
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนหลังอาชามองผ่านช่องประตูกำแพงเมืองหนาแข็งแกร่ง ภาพถนนหนทางของเมืองหลวงแคว้นฉางซาสะท้อนเข้าสู่คลองจักษุ สีหน้าเขาสงบนิ่งยามบอกนามตน
ทหารยามได้ยินว่าเขาคือเซี่ยฉางเกิงแล้วตระหนกตกใจ ลนลานถอยหลบไปด้านข้างพลางเปิดทางให้
ตอนมาสู่ขอเมื่อสามปีก่อน เขาเพียงไปเยือนวังอ๋องเท่านั้น ไม่เคยไปถึงศาลบูชาเจ้าแคว้น จึงไถ่ถามเส้นทางจากทหารยาม
เขาทอดสายตาไปยังทิศทางที่ได้รับการชี้บอก หรี่ตาลงน้อยๆ แล้วชักม้าเข้าเมือง
ตอนลู่หลินนำขุนนางใต้บังคับบัญชามาเฝ้ารอที่เชิงบันไดทางเข้าศาลบูชา หยวนฮั่นติ่งก็มาถึงแล้วเช่นกัน
เขายืนตระหง่านแน่วนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาทั้งคู่มองตรงไปเบื้องหน้า ดุจดั่งเสาหินมั่นคงแข็งแรง
ลู่หลินอยู่ในขั้นยศสูงกว่าหยวนฮั่นติ่ง นับตามอายุก็เป็นผู้อาวุโส แต่วันนี้เขากลับไม่อาจเยือกเย็นหนักแน่นดุจขุนเขาเช่นเดียวกับอีกฝ่ายได้เลย
เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเหตุใดมู่เซวียนชิงต้องวางท่าเย่อหยิ่งถือตนกับน้องเขยซึ่งเดินทางไกลมาเยือน
เขายังกังวลใจว่าถ้าเกิดล่วงเกินเซี่ยฉางเกิงด้วยเหตุนี้ จะไม่เป็นผลดีอันใดต่อแคว้นฉางซาในวันหน้าเป็นแน่แท้