ขณะที่เขาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างกระสับกระส่ายวุ่นวายใจ พลันเห็นร่างคนผู้หนึ่งไกลๆ เป็นจุดดำเล็กๆ เคลื่อนมาจากสุดปลายทางเดินอีกฟากหนึ่ง
คนผู้นั้นเดินใกล้เข้ามาทีละน้อย เงาร่างก็ขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ลู่หลินจดจำได้ในแวบแรกว่าเป็นเซี่ยฉางเกิงที่เคยพบหน้าหนหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว
ไม่พบกันสามปี รูปโฉมโนมพรรณของชายหนุ่มกลับมิได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าใดเมื่อเทียบกับในความทรงจำ
ชะรอยว่าการต่อสู้ฟาดฟันในราชสำนักคงไม่ต่างจากสมัยเป็นโจรในอดีต เพียงเปลี่ยนสมรภูมิใหม่เท่านั้น จึงไม่อาจทิ้งรอยอำมหิตไว้ในดวงตาของเขาเพิ่มจากตอนนั้นนัก
เพียงเห็นเขาเดินตรงเข้ามาตามลำพังด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะจะโคน ชายเสื้อคลุมปลิวตามลม
ลู่หลินเร่งฝีเท้าพาคนเข้าไปคารวะทักทายอย่างว่องไว เขากล่าวกลั้วเสียงหัวเราะว่า “จากกันไปเนิ่นนานหลายปี ได้ยินได้ฟังแต่ชื่อเสียงอันเลื่องลือระบือไกลของผู้บัญชาการเซี่ย วันนี้ได้กลับมาพบกันอีกคราในที่สุด เห็นมิตรเก่ามีสง่าราศียิ่งกว่าในกาลก่อน รู้สึกเป็นเกียรติเหลือเกิน”
น้ำเสียงของเขาเคารพนับถืออย่างยิ่ง
เซี่ยฉางเกิงหยุดฝีเท้าคำนับตอบ หยักยิ้มน้อยๆ “ท่านเสนาบดีกล่าวหนักไปแล้ว ท่านต้องเหนื่อยยากตรากตรำเพื่อบ้านเมืองและราษฎร ทั้งมีงานราชการรัดตัว เป็นเพราะข้ามาช้า ทำให้ท่านรวมถึงคนอื่นๆ ในที่นี้ต้องรอนาน ข้าละอายแก่ใจนัก”
ทั้งที่มู่เซวียนชิงเป็นฝ่ายล่วงเกินอย่างรุนแรง คิดไม่ถึงว่าพอพบหน้ากัน เซี่ยฉางเกิงกลับทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดโต้ตอบด้วยวาจาสุภาพเข้าทีคล้ายไม่ถือสาแม้แต่น้อย
ลู่หลินถอนหายใจโล่งอกขึ้นเล็กน้อย
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เอ่ยถึงเรื่องที่แคว้นฉางซากระทำผิดธรรมเนียมมารยาท ลู่หลินย่อมไม่เบาปัญญาถึงกับพูดขึ้นมาเอง เขากุลีกุจอแนะนำหยวนฮั่นติ่งให้เซี่ยฉางเกิงรู้จัก
“แม่ทัพหยวนเป็นบุตรชายบุญธรรมของเสนาบดีหยวนที่ล่วงลับไปแล้วของแคว้นฉางซาเรา วันนี้รู้ว่าท่านผู้บัญชาการมาเยือน จึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อต้อนรับ”
หยวนฮั่นติ่งเป็นเพียงแม่ทัพคนหนึ่งของแคว้นฉางซา ห่างชั้นจากตำแหน่งของเซี่ยฉางเกิงหลายขุม
เขาทำสีหน้านิ่งขรึม ท่าทางไม่โอหังไม่ต่ำต้อย แสดงคารวะต่อเซี่ยฉางเกิงพลางกล่าว “ข้าขอต้อนรับท่านผู้บัญชาการขอรับ”
ดวงตาทั้งคู่ของเซี่ยฉางเกิงหยุดอยู่ที่ใบหน้าเขา เพ่งมองนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะนิดหนึ่งแล้วย่างเท้าผ่านข้างกายเขาเดินไปข้างหน้าต่อ
ลู่หลินรีบไล่ตามไปเป็นผู้นำทาง พาเขาไปยังด้านหน้าศาลบรรพชน
ประตูศาลบรรพชนเปิดออกแล้ว เซี่ยฉางเกิงล้างมือแล้วถือธูปก้าวเข้าไปด้วยหน้าตาเคร่งขรึม คุกเข่าลงกราบไหว้เหล่าบรรพชนสกุลมู่ที่อยู่ในนั้นไปทีละคน จากนั้นแสดงคำนับต่อป้ายวิญญาณของฉางซาอ๋องผู้ล่วงลับไปเมื่อสามปีก่อนซ้ำอีกทีด้วยความเคารพนบนอบตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด
เมื่อกราบคำนับเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นจากพื้นเสียบธูปลงในกระถางธูป ก้าวถอยหลังสิบกว่าก้าวแล้วหมุนกายจะเดินออกจากศาลบรรพชน แต่กลับต้องชะงักฝีเท้า
ฉางซาอ๋องมู่เซวียนชิงผู้เป็นพี่ชายภรรยาของเขาเข้ามาในศาลบรรพชนตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ กำลังยืนอยู่กลางโถงขวางทางเขาไว้
พวกคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ทั้งสองฝั่งนอกธรณีประตูหายตัวไปหมดแล้ว