มู่เซวียนชิงสวมหมวกเหมี่ยนกวนหยกขาว บนศีรษะกับเสื้อคลุมเจ้าแคว้นปักลายงดงาม รัดสายคาดเอวหยกประดับทอง ดวงหน้าขาวกระจ่างราวหิมะ สีหน้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เขามองเซี่ยฉางเกิงอย่างปึ่งชา
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัดวังเวง
ละม้ายมีดวงตาของวิญญาณคนตายล่องลอยอยู่บนเพดานศาล จ้องมองลงมาที่คนทั้งสองซึ่งยืนประจันหน้าอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ
“เซี่ยฉางเกิง เจ้ายังมาที่นี่ทำอะไรอีก ถ้าหากมิใช่เห็นแก่ท่านพ่อ วันนี้ข้าไม่ยอมให้เจ้าเหยียบย่างเข้าแคว้นฉางซาของข้าอีกแม้สักก้าวเดียวเด็ดขาด”
เสียงพูดของมู่เซวียนชิงคล้ายสะท้อนก้องอยู่ตรงเพดานโถงสูงลิบกว้างขวาง
เซี่ยฉางเกิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาแสดงคารวะต่ออีกฝ่ายตามธรรมเนียมขุนนางต่างเมืองเข้าเฝ้าเจ้าแคว้นแล้วกล่าวขึ้น “ท่านอ๋องเอ่ยแต่เพียงผลลัพธ์ กลับไม่เอ่ยถึงต้นสายปลายเหตุของมัน ท่านบอกให้ทราบได้หรือไม่ว่าเป็นสาเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาของมู่เซวียนชิงฉายแววโกรธเกรี้ยวเสมือนธนูคมกริบพุ่งใส่เซี่ยฉางเกิงที่อยู่ตรงหน้า
“เดิมเจ้าเป็นโจรผู้ร้ายคนหนึ่ง แต่ตอนนั้นท่านพ่อชื่นชมในตัวเจ้าโดยไม่ถือเรื่องศักดิ์ฐานะ ยกน้องสาวของข้าให้แก่เจ้า แคว้นฉางซาเราได้ทำตามคำสัญญาด้วยการให้น้องสาวข้าออกเรือนไปต่างเมืองตอนต้นปี ไม่เอ่ยถึงว่านางเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาไปแต่งงานกับเจ้าในที่ที่โรคภัยชุกชุมอย่างขุยโจว เจ้ายังจากเรือนไป ทอดทิ้งนางไว้ตามลำพังในคืนเข้าหอ หลังจากนางไปอยู่ที่สกุลเซี่ย ไม่ว่าเรื่องการปรนนิบัติดูแลผู้อาวุโส ดูแลงานบ้านงานเรือน ให้ความเมตตาปรานีต่อบ่าวไพร่ นางเคยกระทำผิดธรรมเนียมแม้สักนิดหรือ เคยปริปากบ่นสักคำหรือไม่ น้องสาวของข้าทำผิดเรื่องใดกันแน่ แต่งเข้าสกุลเซี่ยของเจ้าครึ่งปีกว่ากลับโดนหมิ่นหยามเพียงนี้ แล้วสกุลเซี่ยเป็นวงศ์ตระกูลชั้นใดกัน ถึงกล้าลบหลู่ท่านหญิงของแคว้นฉางซาเยี่ยงนี้!”
มู่เซวียนชิงกำสองมือเป็นหมัดแน่นจนเส้นเอ็นที่แตกแขนงคล้ายร่างแหหลังฝ่ามือปูดโปน
“เซี่ยฉางเกิง!”
เขากัดฟันกรอดๆ เรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเกลียดชังอย่างสุดแสน
“อันใดเรียกว่าหน้าเนื้อใจเสือ เดรัจฉานในคราบมนุษย์ ก็คือพวกไร้ยางอายเฉกเช่นเจ้านี่เอง เจ้าสรรหาทุกวิถีทาง ทำได้ทุกอย่างกระทั่งใช้อุบายสกปรกเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สามปีที่แล้วเจ้ามาสู่ขอที่แคว้นฉางซาด้วยมีใจหมายอาศัยบารมี ถ้าหากไม่ใช่ท่านพ่อข้าถูกเจ้าหลอกลวงปิดบัง คอยช่วยเหลือเกื้อหนุนเจ้า มีหรือเจ้าจะได้เป็นขุนนางและได้ดิบได้ดีมียศศักดิ์”
เขายังคงไม่หยุด ยิ่งด่ายิ่งรุนแรงขึ้น
“เจ้าคนชั่วช้าต่ำทรามอกตัญญู! ที่เจ้าหมางเมินน้องสาวข้าเพียงนี้ หรือดูแคลนที่แคว้นฉางซาของข้าไม่มีใครให้พึ่งพาแล้ว ผู้บัญชาการเซี่ย จริงอยู่ว่าตอนนี้เจ้ามากอำนาจสูงศักดิ์ เย่อหยิ่งจองหอง แคว้นฉางซาของข้าก็เป็นแคว้นเล็กๆ กระจ้อยร่อยเท่านี้ หากแต่บรรพชนสกุลมู่องอาจห้าวหาญปานใด ข้าซึ่งเป็นลูกหลานต่อให้ไร้ความสามารถเพียงใดก็จะไม่นั่งนิ่งดูดายปล่อยให้น้องสาวข้าโดนเจ้าเหยียดหยามเช่นนี้เป็นอันขาด
เจ้ามากราบไหว้ดวงวิญญาณอดีตเจ้าแคว้น ข้าไม่ขัดขวาง ในเมื่อกราบไหว้เสร็จแล้วก็เชิญกลับไปเถอะ ศาลบรรพชนแคว้นฉางซาคับแคบ ไม่มีที่ว่างสำหรับท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่เช่นเจ้า!”
เขาหยุดเว้นจังหวะแล้วโยนหนังสือฉบับหนึ่งลงไปบนพื้น
“เจ้าฟังให้ดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสกุลมู่ของข้ากับสกุลเซี่ยของเจ้าไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน น้องสาวข้าก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าอีก ฝ่ายชายจะตบแต่งภรรยาหรือฝ่ายหญิงจะออกเรือนก็สุดแท้แต่” ว่าแล้วก็หมุนกายสะบัดแขนเสื้อจะออกไป