บทที่ 2
“เจ้าเป็นใคร”
น้ำเสียงของบุรุษผู้นี้ช่างทุ้มต่ำและมีพลัง เสียงนั้นดังมาในค่ำคืนอันมืดมิด ดังก้องราวเสียงของหินที่โยนลงไปในบ่อน้ำเก่าๆ
กวนอวิ๋นซีร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว นางตกใจแทบแย่ ดึกดื่นเช่นนี้ยังมีคนไม่หลับไม่นอนแล้วมาที่อี้จวง? หากไม่เห็นว่าเขามีเงานางคงจะนึกว่าเจอผีเข้าจริงๆ เสียแล้ว
นางขมวดคิ้วมองตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดทั้งยังสวมหน้ากากสีเงินอีกด้วย เมื่อเทียบกับนางที่แต่งกายด้วยอาภรณ์และหน้ากากสีดำทะมึนช่างดูต่างกันโดยสิ้นเชิง หากมีบุคคลที่สามอยู่ในเหตุการณ์ ไม่แน่ว่าคนผู้นั้นอาจจะนึกว่านางและเขาเป็นยมทูตขาวดำก็เป็นได้!
นางเพิ่งจะรู้สึกตัวตอนที่เขาเข้ามาด้านในแล้ว เห็นได้ชัดว่าสัมผัสทั้งหกของนางแย่ลงมาก
กวนอวิ๋นซียื่นมือไปหยิบเสื่อฟางขึ้นมาคลุมร่างเดิม ถึงอย่างไรนางก็ได้ของที่ต้องการแล้ว จุดประสงค์ของการมาในคืนนี้สำเร็จลุล่วง ดังนั้นก็ฉวยโอกาสหนีดีกว่า
“คิดจะหนีหรือ”
ฉู่เหิงจือตะคอกเสียงเย็น ตัวเขายังมาไม่ถึง ทว่าพลังกระบี่โจมตีมาก่อน
กวนอวิ๋นซีรีบหลบเป็นพัลวัน บนไหล่รู้สึกเจ็บแปลบ พลังกระบี่กรีดเสื้อขาด ฝากรอยแผลไว้หนึ่งรอย
นางยังไม่ทันได้หอบหายใจพลังกระบี่ของอีกฝ่ายก็มาถึงตัว ภายใต้ภาวะคับขันทำให้นางต้องรีบชักดาบออกมารับมือ
ภายในอี้จวง ทั้งสองคนต่อสู้ฟาดฟันด้วยดาบและกระบี่
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อนางเลย วรยุทธ์ของนางเหลือเพียงเจ็ดส่วน กำลังภายในเองก็ไม่เพียงพอ ตอนนี้นางกำลังพยายามปรับตัวกับร่างนี้อยู่ คล้ายกับว่าสวมรองเท้าที่ไม่พอดีกับเท้าอย่างไรอย่างนั้น ยามต้องการจะแสดงเพลงดาบออกมา ถ้าไม่คาดคะเนระยะใกล้ไปหนึ่งชุ่นจนฟันไม่โดนก็เคลื่อนไหวช้าไปเล็กน้อย
นางร่ำร้องในใจว่าแย่แล้วอีกครั้ง สมองนางยังจำกระบวนท่าได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร นางทำเหมือนเดิมทุกอย่าง กระบวนท่าทั้งหมดถูกต้อง แต่กำลังไม่เพียงพอ!
ปากเสือ* ด้านชา ดาบในมือนางถูกปัดตกลงไปทันใด ปลายกระบี่อันเย็นยะเยือกจี้มาถึงลำคอ
“บอกชื่อเจ้ามา มิเช่นนั้นกระบี่ของข้าจะไม่ปรานีเจ้า” เขาเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ท่านจอมยุทธ์ ผู้น้อยมีนามว่าหลี่ซื่อ อาศัยในหมู่บ้านสกุลหวัง อยู่ในลำดับที่แปด ปกติขายไข่เลี้ยงชีพ ท่านโปรดปรานีผู้น้อยด้วยเถิด!” นางเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
“ดึกดื่นป่านนี้เจ้ามายังอี้จวงด้วยเหตุใด”
“ท่านจอมยุทธ์ ในอี้จวงล้วนมีแต่คนตาย ผู้น้อยคงไม่อาจมาขโมยเงินที่นี่ได้กระมัง”
ฉู่เหิงจือหรี่ตาจ้องฝ่ายตรงข้าม สายตาอันเฉียบคมเหลือบไปมองด้านข้างแวบหนึ่ง มือที่ถือพัดจีบไว้ยื่นไปทางศพนั้น เขาอยากจะเลิกเสื่อฟางขึ้นมา ครั้นกวนอวิ๋นซีเห็นถึงสถานการณ์ ทั้งสองมือก็รีบยื่นมากดเสื่อฟางเอาไว้
“ห้ามดูนะ!”
เมื่อครู่นางรีบร้อนจึงไม่ได้คลุมเสื้อกันลมให้กับศพเรียบร้อยดี!
ฉู่เหิงจือเห็นนางลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าต้องมีปัญหา เมื่อครู่นางต้องค้นศพนี้แน่ แล้วถ้าเขาอยากจะดู ใครก็ห้ามไม่ได้ทั้งนั้น