ในขณะที่เหมียวลั่วชิงยังคงสะลึมสะลือ นางรู้สึกว่าหน้าอกอึดอัดทรมานยิ่งราวกับมีกระแสความร้อนคอยบีบรัดอยู่ในร่างกายทำให้เลือดลมภายในปั่นป่วน
ทันใดนั้นลำคอนางก็รู้สึกร้อนผ่าวและสำรอกเอาเลือดดำออกมาคำหนึ่งดัง ‘แหวะ’ อวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมด ทรมานยิ่งนัก
นางลืมตาขึ้น รู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง รอจนกระทั่งใบหน้าคนผู้นั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ นางจึงตระหนักได้ว่าใบหน้าที่แสนเย็นชาของหร่านเจียงนั้นใกล้แค่เอื้อม
ดวงตานางพร่ามัว ความรู้สึกกลับกลายเป็นความโกรธเกรี้ยวโดยพลัน
“เจ้าคนแซ่หร่าน…” นางพลันชกหน้าเขาโดยไม่ได้คิดแม้แต่น้อย
ทว่ากำปั้นนั้นกลับถูกฝ่ามือใหญ่กุมไว้อย่างง่ายดาย ดวงตาที่เฉียบคมคู่นั้นแฝงไปด้วยอันตรายอยู่เบื้องหน้านาง เขาเอ่ยปากด้วยเสียงเข้ม
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
เหมียวลั่วชิงรู้สึกสับสน นางมองเขาอย่างเซ่อๆ ชั่วพริบตานั้นนางไม่แน่ใจว่าตนอยู่ในชาติใดกันแน่
ครั้นลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นใบหน้าอันเย็นเยียบของหร่านเจียง ดังนั้นการจู่โจมของนางจึงเป็นท่าทีตอบสนองอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้ผ่านความคิดใดๆ ทั้งสิ้น
การซักถามและสายตาอันขุ่นเคืองของเขาทำให้นางเฉลียวฉลาดขึ้นมา นางตื่นตัวจากอาการสะลึมสะลือนั้นโดยพลัน ครั้นได้สติกลับมาจึงเพิ่งพบว่าตนเองและหร่านเจียงประจันหน้าอยู่บนเตียงเดียวกัน
มือเขาวางอยู่บนหน้าอกของนาง กระแสความร้อนสายหนึ่งส่งผ่านจากฝ่ามือเข้าสู่ร่างกายนางไม่ขาดสาย นางเพิ่งระลึกได้ว่าเขากำลังเดินพลังขับพิษให้นาง
นางนึกได้ว่าตนเองถูกแมงมุมพิษกัดเข้า ในขณะที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็ได้สำรอกเอาเลือดดำออกมาเพราะหน้าอกที่อึดอัดทรมาน
นางรีบหลุบตาลงและเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจ โชคดีที่ยังเรียกสติกลับมาได้ทันเวลา นางยังคงประหลาดใจไม่หาย คาดไม่ถึงว่าเขาจะเดินพลังช่วยนางขับพิษ
เดิมทีนางไม่คิดที่จะช่วยเขาสักหน่อย นางอยากเห็นเขาดับสูญไปกับตาเสียด้วยซ้ำ ทว่าก็ตระหนักด้วยความหวาดผวาว่าหากหร่านเจียงถูกแมงมุมพิษกัดเข้า คนแรกที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยต้องเป็นนางแน่ ส่วนเขา ก่อนหน้าที่พิษจะกำเริบจะต้องมีเวลาพอที่จะกำจัดนางแน่
ด้วยเหตุนี้นางจึงเปลี่ยนใจรีบยื่นมือออกไปปัดแมงมุม นางไม่ได้ทำเพื่อช่วยชีวิตเขา แต่ทำไปเพราะไม่อยากให้ตนเองต้องตายเพราะถูกปรักปรำ
นางต้องเลอะเลือนแล้วแน่ๆ ที่รีบเอามือไปปัดแมงมุมพิษตัวนั้น โชคยังดีที่ยามนี้ครั้นมองไป นางพนันได้ถูกแล้ว หากหร่านเจียงสงสัยในตัวนางก็คงไม่มีทางช่วยชีวิตนางแน่
สำหรับวาจาของนางที่เอ่ยโดยไม่ระวังเมื่อครู่นี้ ถึงตายนางก็ไม่ยอมรับ
หร่านเจียงมองนางด้วยแววตาคมกริบ เจิดจรัสยิ่งกว่าประกายไฟ เขาจ้องเหงื่อเย็นที่ไหลลงมาจากหน้าผากของนาง ค่อยๆ ไหลผ่านคิ้ว ดวงตา และขนตาที่สั่นระริกอยู่เล็กน้อย คล้ายปีกผีเสื้อที่กำลังกระพืออย่างแผ่วเบา ผิวพรรณนางซีดเผือดแต่กลับเป็นประกายแวววาว พอพินิจดูแล้วนางช่างบอบบางน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง