พ่อบ้านจ้าวชี้นิ้วด่ากราดนางยกใหญ่ “เจ้าใช้ความงามมายั่วยวนข้าชัดๆ หมายจะพูดเกลี้ยกล่อมให้ข้าย้ายชิวเยวี่ยไปห้องครัว พอข้าไม่ตอบรับเจ้าก็อ้างว่าล้มป่วย ข้าเป็นพ่อบ้านนะ จะยอมให้เจ้ามาข่มขู่ได้หรือ ข้าจึงส่งชิวเยวี่ยไปทำหน้าที่แทนเจ้า แล้วย้ายเจ้าไปห้องครัวหมายจะลงโทษ แต่เจ้ากลับฉวยโอกาสมาปรักปรำข้า นางอสรพิษ!”
พ่อบ้านจ้าวหันไปทางหร่านเจียง “ใต้เท้า สตรีนางนี้จิตใจชั่วช้า ผู้น้อยสงสัยว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะต้องเป็นแผนของนางแน่ ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดตรวจสอบด้วยขอรับ!”
เหมียวลั่วชิงปล่อยให้พ่อบ้านจ้าวที่อยู่ด้านข้างบิดเบือนความจริงไป นางเพียงคุกเข่าก้มหน้าอย่างเงียบเชียบไม่รีบร้อนแก้ต่าง อย่างไรก็ตามนางได้พูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็รอให้หร่านเจียงเป็นคนตัดสิน
หร่านเจียงฟังอย่างไร้อารมณ์ เขาไม่พูดอะไรสักคำ หลังจากที่ฟังคำให้การของทั้งสองฝ่ายแล้วก็เพียงแต่ออกคำสั่ง
“ใครก็ได้นำตัวพ่อบ้านจ้าวไปตัดขาทั้งสองข้างเสียแล้วโยนออกไปนอกจวน”
พ่อบ้านจ้าวตื่นตระหนกยิ่ง ต่อมาก็แสดงความหวาดกลัวสุดขีด ตะโกนกรีดร้องว่าถูกใส่ร้าย
องครักษ์สองคนเดินขึ้นหน้ามาออกแรงลากเขาไปอย่างไม่สนใจไยดี
เหมียวลั่วชิงก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอด คอยเงี่ยหูฟังเสียงกรีดร้องของพ่อบ้านจ้าว ไม่นานนักเสียงนั้นก็เงียบลง สถานการณ์ทั้งหมดกลับคืนสู่ความปกติ
นางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น หร่านเจียงก็ไม่ได้เรียกให้นางลุกขึ้น นางจึงยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้นพลางสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังจ้องนางอยู่จากด้านบน
เขาจัดการพ่อบ้านจ้าวโดยที่ไม่กล่าวอะไรอีก เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้เขาได้สืบหาต้นสายปลายเหตุไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ลองฟังคำให้การของนางและพ่อบ้านจ้าวสักหน่อย แม้ว่าหร่านเจียงจะโหดร้ายอำมหิต ทว่าเขากลับฉลาดหลักแหลมในการจัดการเรื่องนี้ยิ่ง
แต่เหตุใดเขาจึงยังให้นางคุกเข่าอยู่เล่า ไยไม่พูดไม่จาแต่กลับจ้องนางอย่างเงียบๆ
เหมียวลั่วชิงใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ นางไม่กล้าขยับตัว เพียงแต่รอคอยอย่างเงียบสงบ
ยามนี้นางได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาทางเบื้องหน้า ต่อมาก็มีมือข้างหนึ่งช้อนคางนางให้เงยหน้าขึ้น นางจึงต้องสบเข้ากับนัยน์ตาบีบบังคับของเขา
ใบหน้าเย็นชาเคลื่อนเข้ามาใกล้ ดวงตาเขาเจิดจรัสจนแทบจะแผดเผาคนได้ นิ้วมือด้านสากสัมผัสผิวพรรณอันเกลี้ยงเกลาของนางจนรู้สึกเจ็บแปลบ
นางปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายหร่านเจียงมาเป็นเวลาครึ่งปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจงใจสัมผัสดวงหน้านาง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงจัดการจ้าวเฟิง” จ้าวเฟิงก็คือพ่อบ้านจ้าว
เหมียวลั่วชิงจ้องมองนัยน์ตาเขาอย่างสงบแล้วตอบตามความจริง
“ใต้เท้าฉลาดหลักแหลม ย่อมรู้ว่าใครพูดปด ใครถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ”
นางสัมผัสได้ว่าวาจาของนางน่าจะตรงกับใจเขา นางเห็นเขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“จ้าวเฟิงปรักปรำเจ้า เจ้ากลับดูไม่ร้อนรน สงบเยือกเย็นยิ่งนัก”
เหมียวลั่วชิงตะลึงอยู่ชั่วครู่ สัมผัสได้ถึงลางไม่ดี ท่าทีของตนคงดูสงบเกินไป จะเป็นเหตุให้เขาเริ่มสงสัยหรือไม่
“บ่าวสงบเยือกเย็นเป็นเพราะเชื่อมั่นในตัวใต้เท้าเจ้าค่ะ แต่อันที่จริงในใจบ่าวก็ยังรู้สึกกลัวอยู่บ้าง”
นางมองเขาอย่างขลาดกลัว เอ่ยด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง ไม่ได้จงใจประจบประแจง ทว่ารู้สึกเคารพยำเกรงในความฉลาดหลักแหลมและร้ายกาจของเขาอย่างแท้จริง
นางไม่รู้ว่ายามนี้สีหน้าของตนแฝงไปด้วยความสุขุมและความอ่อนโยนซึ่งไม่ได้จงใจแสดงออกมา ขณะที่นางรู้สึกขลาดกลัวก็ยังรู้สึกเชื่อใจเขาด้วย ทว่าในความเชื่อใจก็กลับคอยระวังตัวอยู่ในที อารมณ์หลากหลายที่ขัดแย้งไปมาเช่นนี้แสดงออกมาในคราวเดียวกัน ทำให้หร่านเจียงอดไม่ได้ที่จะมองตรวจสอบนางอีกสักครู่
สำหรับเขาแล้วเหมียวลั่วชิงก็เป็นเพียงสาวใช้รูปร่างงดงาม จวนของเขาไม่เคยขาดซึ่งโฉมงามเลย ผู้คนต่างพยายามส่งสตรีมาให้เขา แต่ละนางก็งดงามไม่แพ้กัน ทว่าจนกระทั่งวันนี้เขาเพิ่งสังเกตความงามของเหมียวลั่วชิงอย่างเต็มตา
ขณะเดียวกับที่นางเชื่อใจเขา แต่ก็หวาดกลัวและคอยระวังตัวอยู่ในที ทำให้ต้องนึกใคร่ครวญมากสักหน่อย
เขาปล่อยคางนางพลางยืนตัวตรง ออกคำสั่งประโยคหนึ่ง
“ไปเก็บข้าวของที่ห้องครัว ย้ายกลับมาที่ห้องเดิมแล้วกลับมาปรนนิบัติข้า”
วาจานี้ทำให้เหมียวลั่วชิงตะลึงพรึงเพริด
เขาเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าไม่ได้ยินคำสั่งข้าหรือ”
“บ่าวน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ” เหมียวลั่วชิงรีบก้มหน้าลงเป็นการตอบรับแล้วยืนขึ้นโค้งกาย พลันรีบถอยออกจากห้องหนังสือ
ตอนที่ออกมานางไม่ได้หันหลังกลับไปอีกเลย จนกระทั่งออกมาจากห้องหนังสือเรียบร้อยถึงได้ทอดสายตามองกลับไป
นางคิดไม่ถึงว่าจากเหตุการณ์ในครั้งนี้หร่านเจียงจะย้ายนางกลับมายังข้างกายเขาอีกครา แม้ใจนางจะไม่ยินยอม แต่กลับไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเขา
ต่อไปนางคงทำได้เพียงปฏิบัติภารกิจอย่างระมัดระวังแล้วค่อยขบคิดวางแผนต่อไป