รอยยิ้มนั้นงดงามเหลือเกิน ทำให้ดวงตาเขาที่ตกตะลึงอยู่นั้นฉายความประหลาดใจออกมา
ยามที่นางช่วยชีวิตเขา นางไม่มีความเสียใจและความหวาดกลัวอยู่ในแววตาเลย มีเพียงความโล่งใจ คนเราแม้จะเสแสร้งเก่งเพียงใด ท่าทีอันเล็กน้อยเหล่านี้ก็คงหลอกใครไม่ได้
เขายังคงมีความสงสัยในตัวนางมากมายนัก แต่เขากลับเชื่อว่าสตรีผู้นี้กล้าสละแม้แต่ชีวิตเพื่อเขา
หร่านเจียงนั่งอยู่ที่ขอบเตียง สายตาจับจ้องคนที่สลบไสลอยู่บนนั้น แม้ว่าดวงหน้าน่ารักบอบบางจะซีดขาว ทว่าในสายตาเขา นางมีแต่จะงดงามมากขึ้นไม่มีลดลง
ฝ่ามือเขาลูบไล้ดวงหน้านางอย่างเบามือ จากคิ้วลงมาถึงดวงตา จมูก จนถึงปากน้อยๆ ของนาง ทว่าแววตาเขาแฝงไปด้วยความอ่อนโยนซึ่งหาได้ยากนัก ราวกับดาบปักวสันต์* อันคมกริบ ยากที่จะเก็บเข้าฝักและลดความเฉียบคมลงเพื่อนาง
ยามที่สาวใช้หรุ่ยเอ๋อร์ยกถ้วยยาเข้ามาก็มองเห็นภาพที่ไม่คาดฝันนี้
มือของใต้เท้ากำลังลูบไล้ดวงหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียง แสงแห่งความอ่อนโยนอันริบหรี่แวบผ่านดวงตาเขา ทำให้หรุ่ยเอ๋อร์อดตะลึงไม่ได้ สงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ นางไม่เคยเห็นใต้เท้าในสภาพเช่นนี้เลย
หร่านเจียงที่นั่งอยู่ขอบเตียงไม่ได้หันมามองนาง แต่ก็คล้ายกับมีดวงตาอยู่ที่แผ่นหลัง เขาออกคำสั่งกับนางด้วยเสียงเข้ม
“ยกถ้วยยามา”
หรุ่ยเอ๋อร์ได้สติโดยพลัน นางรีบเดินซอยเท้าขึ้นหน้า พอเดินเข้าไปใกล้ใต้เท้าก็ยื่นมือมารับ
“เอามาให้ข้า”
หร่านเจียงรับถ้วยยามาด้วยมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งพยุงเหมียวลั่วชิงขึ้นมา คงคิดว่าจะป้อนยานางด้วยตนเอง
หรุ่ยเอ๋อร์แอบประหลาดใจอยู่ด้านข้าง ทว่าทำได้เพียงเม้มปากแน่น ในใจรู้สึกอิจฉาริษยานางยิ่งนัก
“ใต้เท้า ชิงเอ๋อร์ยังสลบอยู่ ยังไม่สามารถดื่มยาได้ ต้องเปิดปากนางกรอกลงไป หากทำเช่นนี้จะทำให้ยาหกได้ เกรงว่าจะทำให้เสื้อผ้าของใต้เท้าสกปรก อย่างไรปล่อยให้เป็นหน้าที่บ่าวเถิดเจ้าค่ะ!”
หรุ่ยเอ๋อร์นึกว่าตนเองเอ่ยเช่นนี้แล้วหร่านเจียงจะปล่อยหน้าที่การป้อนยาให้แก่นาง ใครจะไปคิดว่าหร่านเจียงปฏิเสธนางทันควันโดยไม่ต้องใคร่ครวญ
“ไม่ต้อง”
เขากรอกยาในถ้วยที่เปิดฝาไว้ใส่ปากตนเอง จากนั้นก็ก้มหน้าประกบปากเหมียวลั่วชิง นึกไม่ถึงว่าเขาจะใช้ปากป้อนยานาง
หรุ่ยเอ๋อร์เบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก อ้าปากค้าง งุนงงไปในทันใด
หากข้างกายหร่านเจียงไม่มีใคร การป้อนยาเหมียวลั่วชิงด้วยปากตนเองทีละคำๆ ช่างดูอ่อนโยนและใจเย็นยิ่งนัก เขาไม่ปล่อยให้ยาหยดออกมาภายนอกแม้เพียงหยดเดียว คอยระวังไม่ทำให้เสื้อผ้านางเปรอะเปื้อน
จนกระทั่งป้อนยาคำสุดท้าย เขาก็ยังคงจ้องดวงหน้าน้อยที่สลบไสลอยู่ในอ้อมกอดไม่วางตา พบว่ามุมปากนางยังเปื้อนคราบยา เขาก็เลยแลบลิ้นออกไปเลียตรงมุมปากนางจนไม่เหลือคราบสักหยด
เขาเพ่งพินิจอย่างพออกพอใจ ด้วยความตั้งอกตั้งใจของเขาทำให้ปากน้อยๆ ที่แต่เดิมไร้สีเลือดกลับมาชุ่มชื้น แต่งแต้มสีชมพูอ่อนไว้
เขาป้อนยาและจุมพิตนางราวกับเป็นเรื่องปกติ คล้ายกับว่าเดิมทีนี่ก็คือสิ่งที่อยู่ในอำนาจของเขา
เขาช้อนตาขึ้นเห็นหรุ่ยเอ๋อร์แสดงสีหน้างุนงง ริมฝีปากบางอันได้รูปของเขาค่อยๆ โค้งขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนอันน่าหลงใหล ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมากลับกลายเป็นคำเตือนที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน
“หรุ่ยเอ๋อร์ ตั้งแต่บัดนี้ชิงเอ๋อร์ก็คือนายของเจ้า เจ้ามาปรนนิบัตินางเหมือนที่ทำกับข้า ต้องดูแลนางให้ดีที่สุด ละเอียดรอบคอบ หากเสื้อผ้านางเปื้อนเพียงนิด ห่มผ้าให้ไม่ดีพอ หรือบนร่างนางเกิดมีรอยฟกช้ำ เช่นนั้นหอนางโลมก็จะกลายเป็นที่พักของเจ้าในวันข้างหน้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หรุ่ยเอ๋อร์หลุดออกจากภวังค์ทันใด จากนั้นก็กระจ่างแจ้งในบางสิ่ง รีบคุกเข่าลงอย่างตื่นตระหนก
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไม่กล้า บ่าว…จะต้องปรนนิบัติแม่นางชิงเอ๋อร์อย่างดีเจ้าค่ะ” หรุ่ยเอ๋อร์ตกอกตกใจ นางรู้ดีว่าเป็นเพราะตนปรนนิบัติเหมียวลั่วชิงอย่างขอไปที นางแอบไม่มีมารยาทกับเหมียวลั่วชิงที่สลบไสลอยู่ เป็นเหตุให้ใต้เท้าไม่พอใจ
หร่านเจียงไม่ได้เรียกนางลุกขึ้น ปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่อย่างนั้น เหลือบมองนางอย่างเหยียดหยาม
“แม้ชิงเอ๋อร์จะยังสลบอยู่ แต่ว่าห้องนี้มีหูมีตาข้าคอยสอดส่อง ถ้าเจ้าปรนนิบัตินางอย่างดี ข้าจะตกรางวัลให้ หากดูแลได้ไม่ดี ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยวิธีใดเจ้าคงรู้ดีนะ”
หรุ่ยเอ๋อร์รู้แน่แก่ใจในบัดดลว่าไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาใต้เท้าไปได้เลย นางตกใจกลัวจนร่างกายสั่นเทิ้ม ไม่กล้าเอ่ยมากความอีกพลันหมอบตัวลง
“บ่าวน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
เหมียวลั่วชิงยังคงสลบไสลไม่ได้สติ นางยังคงไม่รู้ว่าการที่ตนเองใช้ชีวิตเดิมพันกับการรับกระบี่แทนหร่านเจียงในครั้งนี้ทำให้ชีวิตนางกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง นางยังไม่ทันได้มอบเรือนร่างของตนให้กับหร่านเจียงก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากสาวใช้เป็นอนุภรรยาของเขาเสียแล้ว
การดูแลปรนนิบัติทั้งหมดที่นางจะได้รับเทียบเคียงกับสิ่งที่บรรดาอี๋เหนียงได้รับ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น.