เมิ่งสืออวี่กำลังเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ของร้านแบรนด์เนมยืนประคองรองเท้าราคาแพงหลายคู่ไว้ในมืออยู่ข้างๆ รอจนเธอวางโทรศัพท์จึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมา “คุณเมิ่งคะ สินค้าพวกนี้เป็นของมาใหม่ทั้งหมด ทุกครั้งที่มีสินค้าเข้ามาใหม่ทางเราจะเก็บไว้ให้คุณเสมอ คุณลองดู…”
เมิ่งสืออวี่ลุกขึ้นยืน ใบหน้าของหญิงสาวไร้ความรู้สึก แม้แต่รองเท้าคู่ที่เมื่อครู่เธอเลือกเอาไว้เรียบร้อยแล้วก็ยังไม่หยิบขึ้นมาด้วย “ไม่ดูแล้ว”
จนกระทั่งเธอเดินออกไปแล้ว บรรดาพนักงานหน้าเคาน์เตอร์จึงเก็บรองเท้าไปพลางรวมหัวกระซิบกระซาบกัน “ไม่ใช่ว่าคุณเมิ่งคนนี้คือคนที่ชอบมาซื้อของแพงที่สุดและดีที่สุดโดยตลอดหรอกเหรอ แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่ซื้อของเข้าใหม่เลยล่ะ ล้มละลายแล้วหรือไงกัน”
“คิดว่าโทรศัพท์สายเมื่อกี้นี้เป็นของสามีเธอโทรมาหรือเปล่า เห็นหน้าเปลี่ยนสีไปเลย”
“ไม่ใช่มั้ง เธอยังโสดอยู่เลย…”
เมิ่งสืออวี่เดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าแล้ว เวลานี้รู้สึกแค่ว่าในหน้าอกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ติดอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกเจ็บหน้าอก เธอยืนอยู่ที่เดิมสักพักจึงโทรศัพท์หาหลินเซิน
“เซินเซิน ตอนเย็นไปกินข้าวกัน ฉันจะไปรับเธอเอง”
จากปลายสายมีเสียงลมพัดแรงดังมาเป็นระลอกๆ “ฉันมาร่างภาพที่เถาฉวน วันมะรืนถึงกลับไป”
บนใบหน้าเมิ่งสืออวี่มีประกายผิดหวังวาบผ่าน เธอได้แต่เอ่ยออกมาอย่างไร้ทางเลือก “งั้นก็ได้ กลับมาแล้วโทรหาฉันด้วยนะ”
เถาฉวนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวละแวกรอบๆ เมืองไหวอัน เมื่อหลายปีก่อนถูกรัฐบาลสร้างเป็นอุทยานป่าท้อเพราะว่าดอกท้อที่นี่บานสะพรั่งไปทั่วทั้งภูเขาทำให้ทิวทัศน์สวยมากจนกลายเป็นสถานที่ที่หลินเซินชอบไปหาแรงบันดาลใจ
ภายในเมืองนั้นมีอากาศร้อนอบอ้าว ทว่าเถาฉวนที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำถัวเจียง ทั้งยังมีต้นไม้เขียวชอุ่มแผ่ปกคลุมไปทั่วยังมีอากาศเย็นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิหลงเหลืออยู่บ้าง หลินเซินเข้าพักในโรงแรมท้องถิ่น ตั้งแต่เช้าพอตื่นขึ้นมาเธอก็หอบขาตั้งวาดภาพไปที่สวนสาธารณะถัวเจียง อีกฟากของแม่น้ำใสสะอาดเป็นป่าท้อ แม้ว่าในฤดูกาลนี้ดอกท้อจะร่วงโรยไปนานแล้ว แต่ใบต้นท้อกลับยังเขียวชอุ่ม สีเขียวของต้นท้อเชื่อมต่อกันคล้ายเกลียวคลื่น ยามลมแม่น้ำพัดพากลิ่นต้นท้อลอยผ่านมาก็ทำให้คนหลงคิดว่ายังอยู่ในช่วงเดือนสอง
หลินเซินอยู่ที่นั่นจนถึงช่วงพลบค่ำ เวลาที่มีลมพัดบนผิวแม่น้ำยังสะท้อนภาพดวงอาทิตย์สีแดงครึ่งซีก แต่อากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน จู่ๆ ก็มีเมฆครึ้มปกคลุมไปทั่ว ลมพัดแรงจนขาตั้งวาดภาพพลิกคว่ำ ถาดสีพู่กันก็ถูกพัดจนตกกระจายเต็มพื้น
เธอรีบก้มลงเก็บของมือไม้เป็นพัลวัน แปรงพู่กันกลิ้งห่างออกไปไกลหลายเมตรถูกใครคนหนึ่งก้มเก็บมาให้ หลินเซินยังค้างอยู่ในท่านั่งยองๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบสายตากับคนคนนั้นเข้าพอดี
ชั่วพริบตาที่สบตากัน ในแววตาของชายหนุ่มมีรอยยิ้มวาบผ่าน แล้วจึงส่งเสียงทักทาย “เป็นคุณอีกแล้ว” เขายื่นพู่กันมาให้ตรงหน้าหลินเซิน ก่อนจะเดินไปจับขาตั้งวาดภาพที่ล้มลงขึ้นมาตั้งใหม่ เมื่อเห็นเธอยังคงค้างอยู่ในท่านั่งยองๆ ก็มองยิ้มๆ “ยังไม่ไปอีกเหรอครับ ฝนจะตกแล้ว”
ตอนนั้นเองหลินเซินกลับสังเกตเห็นลูกโป่งลายเปปป้าพิกที่เขาถืออยู่ เสียงฟ้าร้องดังลอยมาจากขอบฟ้า ชายหนุ่มแบกขาตั้งวาดภาพขึ้นมาท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง “ผมช่วยคุณถือไปแล้วกัน”
หลินเซินเม้มปาก ลุกขึ้นยืนแล้วถอยห่างจากเขาไปหลายก้าว ชายหนุ่มมองเธอครู่หนึ่งด้วยท่าทางสบายๆ “สายตาแบบนั้นของคุณมันอะไรกัน ผมไม่ใช่คนเลวนะ พวกเราเคยเจอกันมาก่อนที่ประตูโรงแรมเหลียนถังกับอาจิ้งไง” เขายื่นมือออกมา “ผมชื่อกู้ชิงไหว”
เธอย่อมจำได้ว่าเขาเป็นใคร ใบหน้าที่หล่อเหลาเกินไปนี้มักชวนให้คนมองทอดถอนใจกับความลำเอียงของพระเจ้าได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้เมื่อเธอได้เห็นหน้าเขา หลินเซินก็จะคิดโยงไปถึงท่าทางลนลานทำอะไรไม่ถูกของอาจิ้ง รวมถึงประโยคนั้นของเมิ่งสืออวี่ ‘นอกใจภรรยาช่วงท้องนี่ปกติมาก’
สายลมพัดแรงทำให้เรือนผมที่ปล่อยอยู่บนบ่าของเธอลอยยุ่งเหยิง หลินเซินก้มหน้าลงพร้อมทัดผมไปไว้ที่หลังใบหู เธอไม่ได้จับมือคู่นั้น แค่เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณค่ะ! เดี๋ยวฉันจัดการเอง”