กว่าเมิ่งสืออวี่จะกลับมาจากงานสัมมนาวิชาการด้านจิตวิทยาก็ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหลังหลินเซินส่งข้อความมาบอกเธอว่าจะเก็บตัววาดภาพแล้วก็ปิดโทรศัพท์มือถือไป จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังโทรไปไม่ติด ผู้ช่วยของเธอสตาร์ตรถพลางถาม “จะไปหาคุณหลินหรือเปล่าคะ”
เมิ่งสืออวี่ขมวดคิ้วขณะหลับตา เธอตอบเสียงเย็นชา “ตอนสิบโมงมีคนไข้นัดไว้ เรื่องพวกนี้ยังต้องให้ฉันเตือนเธออีกเหรอ”
ผู้ช่วยก้มหน้าลงมองนาฬิกา ตอนนี้แปดโมงสี่สิบนาทีแล้ว ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างจึงตอบกลับเสียงเบา “ทราบแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอเมิ่ง”
รถยนต์ขับเข้าไปที่วิลล่าบนภูเขาชังหรงก่อนเวลาสิบโมง ในตอนที่เมิ่งสืออวี่ผลักประตูเดินเข้าไป กู้ชิงไหวก็นั่งอยู่บนโซฟากำลังพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ของเช้าวันนี้แล้ว
เธอยิ้มน้อยๆ ถอดเสื้อนอกออกแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อกาวน์สีขาวตัวใหญ่แทน “วันนี้มาแต่เช้าขนาดนี้เชียวเหรอคะ”
“ตื่นเช้าแล้วไม่มีอะไรทำก็เลยมาเลยน่ะครับ” สายตาของกู้ชิงไหวกวาดผ่านกระจกหน้าต่างบานยาวจรดพื้นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “เงียบกว่าเมื่อก่อนเยอะ เปลี่ยนเป็นกระจกเก็บเสียงแล้วเหรอครับ”
เมิ่งสืออวี่รู้สึกตกใจกับความช่างสังเกตของเขาอยู่บ้าง เธอพยักหน้าก่อนเดินไปแขวนป้าย ‘กำลังตรวจรักษา ห้ามรบกวน’ ที่ด้านนอกประตู จากนั้นก็เริ่มต้นกระบวนการรักษาของวันนี้
ครั้งนี้ตอนไปร่วมงานสัมมนาที่ปักกิ่ง เมิ่งสืออวี่ไปเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับอาการของกู้ชิงไหวจากศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาเก่งๆ หลายท่านโดยเฉพาะ เธอได้รับวิธีการรักษาใหม่ๆ มาชุดหนึ่งจากอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งได้ให้คำแนะนำมาว่า แก่นของการรักษาคือการหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ เรื่องนี้เองก็เป็นจุดที่เมิ่งสืออวี่ทุ่มเทกำลังแก้ไขมาโดยตลอด
แต่เมื่อมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีต กู้ชิงไหวก็มักจะตอบส่งๆ อยู่เสมอ ชายหนุ่มแค่เคยพูดกับเพื่อนร่วมงานของเธอในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งว่าพ่อแม่ของเขาเป็นทหารทั้งคู่ ทว่าไม่รู้เพราะอะไรตัวเขาถึงไม่ได้ทำงานทหาร แต่กลับมาพักอาศัยอยู่ที่ไหวอันตามลำพัง เมิ่งสืออวี่คาดเดาว่ากู้ชิงไหวน่าจะเคยมีความขัดแย้งรุนแรงกับคนที่บ้าน ซึ่งเรื่องนี้เองอาจจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขานอนไม่หลับ
ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปมาเบาๆ อย่างมีจังหวะ ส่งเสียงดังติ๊งๆ เสมือนระลอกน้ำที่กระจายวงออกไปช้าๆ อยู่ภายในห้อง ภายใต้เสียงชักนำอย่างนุ่มนวลของเมิ่งสืออวี่ ร่างกายของกู้ชิงไหวที่อยู่บนเก้าอี้ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ม่านหน้าต่างปิดลงครึ่งหนึ่ง ทำให้แสงสว่างที่กำลังพอดีภายในห้องสะท้อนลงบนใบหน้าที่มีกรอบหน้าคมชัดของเขา ประหนึ่งแสงจากประภาคารที่ประเดี๋ยวก็ส่องสว่างประเดี๋ยวมืดลงในเวลาเดินเรือตอนกลางคืน ชักนำผู้คนให้มุ่งหน้าลึกเข้าไป แต่ก็ยากจะไปถึงในเวลาเดียวกัน
“ออกจากบ้านมาอยู่ตามลำพังหลายปีแบบนี้ พ่อแม่ไม่เป็นห่วงคุณเหรอคะ”
“ไม่ห่วงครับ”
“ปกติแล้วนานแค่ไหนถึงจะกลับบ้านสักครั้งคะ”
“นานๆ ทีครับ”
เมิ่งสืออวี่ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ ตามหลักในเวลานี้เขาควรจะเข้าสู่ช่วงหลับลึกแล้ว จิตใต้สำนึกจะต้องลอยไปตามคำพูดของเธอโดยสมบูรณ์ แต่เสียงของเขากลับไม่อู้อี้เหมือนคนถูกสะกดจิต กู้ชิงไหวยังคงพูดจาได้อย่างชัดเจนทุกๆ พยางค์
“ครั้งล่าสุดที่กลับบ้านไปคือเมื่อไหร่คะ”
“สองปีก่อนครับ”
นิ้วของเมิ่งสืออวี่ที่กำปากกาเอาไว้สั่นเบาๆ “บ้านเป็นสถานที่ที่อบอุ่นมากนะคะ คุณโตมาที่นั่นตั้งแต่เด็กๆ มีเหตุผลอะไรทำให้คุณไม่ยอมกลับไปเหรอคะ”
กู้ชิงไหวที่อยู่บนเก้าอี้นอนฝั่งตรงข้ามชะงักไป ผ่านไปนานถึงได้เปิดปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ผมไม่ได้ไม่ยอมกลับไป” เมิ่งสืออวี่อึ้งไป ขณะที่เขาลืมตาขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน ชายหนุ่มมองมาที่เธอตาไม่กะพริบ “คุณหมอเมิ่ง ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องสะกดจิตผม”
นัยน์ตาคู่นั้นลึกล้ำเกินไปคล้ายมหาสมุทรลึกไร้ขอบเขต เวลามองใครก็สามารถทำให้คนคนนั้นจมน้ำตายได้ เมิ่งสืออวี่รู้สึกเครียดขึ้นมา แต่ยังแกล้งทำเป็นยิ้มอย่างใจเย็น “ก็ไม่ใช่ไม่สำเร็จหรอกเหรอคะ!”
เมิ่งสืออวี่เก็บปากกาแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนก้มหน้าลงจัดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ “คุณกู้คะ ฉันเจอคนไข้มามาก แต่ไม่เคยเจอใครที่ฉันไม่สามารถสะกดจิตได้อย่างคุณมาก่อน คุณเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งมาก เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับครอบครัวของคุณด้วย”