กู้ชิงไหวใช้มือต่างหมอนพลางมองออกไปภายนอกหน้าต่าง ไม่ได้ต่อบทสนทนาของเธอ “ดูท่าแล้วที่คุณไปปักกิ่งมาครั้งนี้จะไม่ได้ผลอะไร”
แผ่นหลังของเมิ่งสืออวี่แข็งเกร็งขึ้นมา แต่ในตอนที่หันกลับมาเธอยังคงยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องอะไร “ถ้ายอดเขาเอเวอเรสต์ปีนได้ง่ายขนาดนั้น ก็ไม่มีทางกลายมาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดอันดับหนึ่งแล้ว”
การที่คนในวงการเดียวกันเปรียบกู้ชิงไหวเป็นยอดเขาเอเวอเรสต์นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่เธอไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ เด็ดขาด
กู้ชิงไหวยิ้มน้อยๆ ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วสวมเสื้อนอก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาได้ถูกเวลา ชายหนุ่มกดรับแล้วยกมันถือแนบหูไว้ ไม่รู้ว่าปลายสายกำลังพูดเรื่องอะไรเขาถึงเลิกคิ้วน้อยๆ ยิ้มออกมาพลางเอ่ยขึ้น “งานครั้งนี้ยังน่าสนใจไม่น้อย รับสิ รับแน่นอนอยู่แล้ว”
เมื่อวางสายลงเมิ่งสืออวี่ก็มองเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา “ยังรับงานอยู่อีกเหรอคะ ฉันควรจะดีใจที่คุณให้เช่าตัวเองเพื่อผลาญพลังงานตามวิธีของฉันดีไหม ถึงตอนนี้ดูไปแล้ววิธีการรักษาแบบนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้นก็ตาม”
“ที่ไหนกัน” กู้ชิงไหวยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม “อย่างน้อยมันก็สนุกดี ชีวิตเป็นเต็มไปด้วยสีสันขึ้นมา”
เมิ่งสืออวี่ฝืนหัวเราะรับไปสั้นๆ “ครั้งนี้เป็นงานอะไรกันคะ”
“โปรแกรมจับคู่อย่างหนึ่ง คนจัดห่วงว่าฝั่งผู้ชายจะน้อยกว่าผู้หญิงก็เลยเชิญผมไปเป็นหน้าม้า” เขาวางแก้วกาแฟลงพลางยักไหล่ยิ้มๆ “ไปล่ะครับ”
กู้ชิงไหวเพิ่งเดินไปถึงประตู เมิ่งสืออวี่ก็ส่งเสียงเรียกเขาเอาไว้ “คุณกู้” กู้ชิงไหวหันกลับมา “ขออภัยที่ฉันพูดตรงๆ แต่ในเมื่อคุณไม่เต็มใจร่วมมือรักษา แล้วยังจะมาหาหมอตามนัดทุกสัปดาห์อีกทำไมกันคะ” หน้าอกของเธอขยับไหวขึ้นลงน้อยๆ ตามอารมณ์ขณะที่พูด
ไม่ว่าจะเป็นการขัดขืนการสะกดจิต หรือว่าไม่ยอมพูดถึงเรื่องในอดีตสักคำ ดูแล้วคล้ายว่าเขาจะไม่สนใจผลการรักษาแต่แรกแล้ว อย่างเดียวที่กู้ชิงไหวให้ความร่วมมือก็คือการให้เช่าตัวเองตามการแนะนำของเธอ ลองสัมผัสตัวตนที่แตกต่างกันเพื่อปรับสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตไปสู่ผลลัพธ์ในการรักษา
แต่เหตุผลที่ชายหนุ่มยืนหยัดทำเรื่องนี้กลับไม่ใช่เพราะทำแล้วมีประโยชน์ต่อตัวเอง แต่เพราะทำแล้วเขารู้สึกสนุก ส่วนตัวเธอนั้นใช้เวลาในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับของเขาไปมากเท่าไหร่ แต่ในสายตากู้ชิงไหวแล้วเขากลับมองทุกสิ่งเป็นแค่การกระทำที่มากเกินความจำเป็นเท่านั้น
ลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศพัดผ่านข้อเท้าไป ชวนให้เกิดอาการขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย ที่ผ่านมาเมิ่งสืออวี่มักจะเงียบอยู่เสมอ ดังนั้นในตอนนี้เมื่อเธอได้พูดออกไปแล้วก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นแค่จิตแพทย์คนหนึ่งเท่านั้น ทางเลือกเป็นของผู้ป่วย เธอไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งตั้งแต่แรกแล้ว
ทั้งๆ ที่นั่นเป็นคำพูดที่เกินกว่าหน้าที่ เมิ่งสืออวี่จึงนึกไม่ถึงว่ากู้ชิงไหวจะตอบกลับมา น้ำเสียงของเขาราบเรียบฟังอารมณ์ไม่ออก “เพื่อทำให้แม่ผมสบายใจครับ”
ประโยคนี้ทำให้ในสมองของเมิ่งสืออวี่มีความคิดนับสิบไหลผ่าน
แม่ของเขาก็รู้เรื่องที่กู้ชิงไหวต้องพึ่งยาถึงจะนอนหลับได้มาโดยตลอดงั้นเหรอ หากฟังจากประโยคนั้นแล้วดูเหมือนความสัมพันธ์ของเขากับแม่จะดีมาก ถ้าเช่นนั้นคนที่เขาขัดแย้งด้วยก็อาจจะเป็นพ่อของเขา? เคยได้ยินมาว่าพ่อของเขาเป็นหัวหน้าทหารที่ไหนสักเขต แล้วความขัดแย้งแบบไหนกันที่ส่งผลให้เขามีอาการนอนไม่หลับรุนแรงแบบนี้
เมื่อเมิ่งสืออวี่ได้สติกลับมาก็คิดอยากจะถามอะไรบางอย่างกับเขาต่อ แต่กู้ชิงไหวจากไปนานแล้ว
ในตอนที่ผู้ช่วยเคาะประตูและถือแก้วกาแฟเดินเข้ามาก็พบว่าเมิ่งสืออวี่กำลังฟังเสียงบันทึกการรักษาเมื่อครู่นี้อยู่โดยที่คิ้วขมวดแน่น ผู้ช่วยวางแก้วกาแฟลงอย่างระมัดระวังและเตรียมออกไป ทว่ากลับถูกจิตแพทย์สาวเรียกตัวเอาไว้ “ตอนบ่ายยังมีนัดอีกไหม”
ผู้ช่วยพลิกเปิดตารางนัดหมาย “ตอนบ่ายสามโมงมีคนไข้หูแว่วหนึ่งคนค่ะ”
เมิ่งสืออวี่เก็บปากกาบันทึกเสียง “เลื่อนนัดเป็นวันพรุ่งนี้แทน ตอนบ่ายฉันมีธุระ”
“แต่ดูเหมือนผู้ป่วยคนนี้จะอาการหนักมาก…”
เมิ่งสืออวี่คว้ากระเป๋าและลุกขึ้นยืนแล้ว เธอเอ่ยตำหนิเสียงเย็น “อาการหูแว่วไม่ได้รักษาหายในวันสองวัน และก็ไม่ทำให้ตายในวันสองวันนี้เหมือนกัน บอกไปว่าฉันออกไปทำงานข้างนอกยังไม่กลับมา”
พูดจบเมิ่งสืออวี่ก็เดินเหยียบรองเท้าส้นสูงออกไปแล้ว