ภายในห้องอาหารไม่มีบริกร พ่อครัวเข้าใจความชอบและรสปากของซ่งเซียวหานดีจึงไม่จำเป็นต้องถามอะไรมาก แต่ตอนที่เห็นหลินเซินเขาก็มีอาการอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนสอบถามอย่างสุภาพ “คุณผู้หญิงท่านนี้จะรับอะไรดีครับ”
ซ่งเซียวหานช่วยดึงเก้าอี้ออกให้เธอ หลินเซินพยายามข่มความไม่เคยชินลงไป “ฉันกินข้าวมาแล้วค่ะ”
พ่อครัวยิ้มน้อยๆ “ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นของหวานหลังอาหารเป็นยังไงครับ”
หลินเซินพยักหน้า
เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาสถานที่แบบนี้ ซ้ำยังมากับซ่งเซียวหานที่เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งเดียวอีกด้วย หลินเซินไม่รู้ว่าควรเอาสายตาไปวางไว้ที่ไหน และซ่งเซียวหานก็ดันเป็นคนพูดน้อยมากๆ ดังนั้นเมื่อทั้งคู่มาอยู่ด้วยกัน ภายในห้องจึงเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เป็นเขาที่เปิดปากขึ้นก่อน “คุณหลิน” สีหน้าของซ่งเซียวหานเคร่งเครียด เอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างเชื่องช้า “เรื่องเมื่อเช้า…ต้องขอโทษด้วยครับ!”
หลินเซินรีบส่ายหน้าทันที “ไม่เป็นไรค่ะ!”
เขาขอโทษมาสามครั้งแล้ว ท่าทางเกรงใจเธอจนทำให้หลินเซินรู้สึกตกใจอยู่บ้าง ซ่งเซียวหานคล้ายจะไม่สังเกต ชายหนุ่มส่งซองเอกสารที่เอาติดลงมาจากรถด้วยยื่นให้ “สัญญาใหม่ครับ”
หลินเซินรับมาด้วยความประหลาดใจ เธอเปิดซองแล้วหยิบหนังสือสัญญาออกมาดู หลังอ่านตั้งแต่ต้นจนจบไปรอบหนึ่ง สีหน้าของจิตรกรสาวก็เปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงขึ้นมาทันที สัญญาฉบับนี้ได้เพิ่มเงื่อนไขใหม่เข้าไปในเนื้อหาเดิม เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าในช่วงเวลาสองปี หากโรงแรมเหลียนถังทุกสาขาต้องการใช้รูปภาพจะใช้ภาพของหลินเซินทั้งหมด และขอแค่เป็นแกลลอรี่ที่เหลียนถังมีส่วนร่วมในการลงทุน ทางโรงแรมก็จะนำภาพวาดของเธอไปจัดแสดงก่อนเป็นอันดับแรก ทั้งยังเพิ่มค่าชดเชยในกรณีที่ทางโรงแรมผิดสัญญาก่อนหน้านี้เป็นสามเท่า
แบบนี้เรียกได้ว่าเขากำลังทำบุญอยู่ชัดๆ หลินเซินบีบเอกสารแน่น “ประธานซ่งคะ สัญญาฉบับนี้มัน…”
ซ่งเซียวหานเอ่ยขัดเสียงเรียบ “ชดเชยครับ”
หลินเซินยิ้มออกมาน้อยๆ อย่างจนใจ ก่อนผลักสัญญากลับไป “ขอบคุณค่ะ! แต่ฉันเซ็นสัญญาฉบับนี้ไม่ได้ค่ะ”
ซ่งเซียวหานขมวดคิ้ว ส่วนหลินเซินก็เงียบขรึมลง “เรื่องเมื่อเช้าทำให้ฉันรู้สึกเสียใจก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่คุณต้องมาใช้วิธีทำบุญทำทานแบบนี้ นี่มันชดเชยมากเกินไป ฉันหวังว่าภาพของฉันจะถูกนำไปจัดแสดงด้วยความชื่นชม ไม่ใช่ด้วยความเห็นใจค่ะ”
ซ่งเซียวหานมองหลินเซิน เห็นเธอเม้มริมฝีปาก เขาถึงได้เปิดปากพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก “ผมชอบรูปภาพของคุณมาก” ความเย็นชาบริเวณหว่างคิ้วของเขาเลือนหายไปและลดความเร็วในการพูดลง “ครั้งแรกที่ได้เห็นก็รู้สึกถูกดึงดูดแล้วครับ”
หลินเซินไม่เข้าใจ “เพราะอะไรคะ ภาพของฉันไม่มีเนื้อหาอะไรทั้งนั้นนี่คะ”
ซ่งเซียวหานชะงักไปก่อนเอ่ยออกมาอย่างเนิบช้า “หลายๆ ครั้งคำพูดและรูปธรรมกลับไม่อาจ…” เขาชะงักไปอีกเล็กน้อย เหมือนจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง หลังจากยกมือขึ้นเพื่อปลดกระดุมคอเสื้อแล้วถึงได้เอ่ยต่อ “แสดงอารมณ์ที่แท้จริงของคนคนหนึ่งออกมาได้…และอารมณ์ที่ไม่สามารถแสดงออกผ่านคำพูดได้พวกนั้น กลับสัมผัสได้ในรูปภาพของคุณ…อย่างชัดเจน”
หลินเซินอึ้งไปเล็กน้อย
คนคนนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมองรูปภาพของเธอออกจริงๆ…
สีสันที่ตัดกันพวกนั้น ไม่ใช่ว่าหลินเซินเทถาดสีไปตามอารมณ์ แต่นั่นคือกลุ่มก้อนอารมณ์ที่ยากจะระบายออกในใจเธอ การวาดภาพสำหรับหลินเซินแล้วไม่เคยเป็นการสร้างสรรค์ผลงาน แต่เป็นการระบาย
แต่ทำไมซ่งเซียวหานถึงได้มองออกกัน ลูกรักของพระเจ้าอย่างเขาจะมาเข้าใจสิ่งที่เธอแบกรับเอาไว้พวกนั้นได้ยังไง
บรรยากาศเงียบลงไปชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมซ่งเซียวหานถึงขมวดคิ้วขึ้นมา เขารอจนพ่อครัวยกอาหารมาเสิร์ฟเรียบร้อยถึงได้เปิดปากพูด น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงเนิบช้าตามเดิม “คุณหลิน พอได้คุยกับคุณแล้วผมรู้สึกแปลกมาก แต่ก่อนผมไม่ค่อยได้พูดมากเท่าไหร่”
พ่อครัวทำพุดดิ้งสตรอเบอรี่มาให้หลินเซิน เธอใช้ส้อมจิ้มชิ้นสตรอเบอรี่ “จริงเหรอคะ”
เขาเผยยิ้ม “ครับ ผมดีใจมากที่ได้คุยกับคุณ” ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้บนใบหน้าของชายหนุ่มจึงมีสีหน้าที่เธอมองแล้วไม่เข้าใจ เธอได้ยินเขาลดเสียงลงในตอนที่เอ่ยต่อ “ผมไม่ได้คุยกับใครมานานแล้ว”