หลังสลัดความเย็นชาและเงียบขรึมพูดน้อยในอดีตออกไปแล้ว เวลาที่ซ่งเซียวหานยิ้มก็กลับดูอบอุ่นอย่างไม่คาดฝัน ตอนที่มุมปากของชายหนุ่มหยักยกขึ้น เมื่อตั้งใจมองดูจะเห็นว่าบนแก้มมีลักยิ้มจางๆ อยู่รอยหนึ่ง
หลังกินข้าวเสร็จซ่งเซียวหานก็ยื่นหนังสือสัญญาตัวใหม่นั้นให้เธออีกครั้ง เมื่อพูดคุยกันมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นตัวอะไรอีกแล้ว หลินเซินจึงเซ็นชื่อของตัวเองลงไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณคุณมากจริงๆ นะคะ!”
ซ่งเซียวหานยิ้มน้อยๆ “ผมจะส่งคุณกลับบ้านครับ”
ใกล้บ่ายแล้ว ตรงขอบฟ้ามีเมฆขาวซ้อนตัวกันหลายชั้น แสงอาทิตย์ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังชั้นเมฆ ลดทอนความร้อนไปได้ไม่น้อย ลิฟต์ส่วนตัวกำลังซ่อมบำรุงอยู่ ซ่งเซียวหานจึงพาเธอไปใช้ลิฟต์ของแขก ในตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก พบว่าข้างในมีชายหญิงกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่คู่หนึ่ง สายตาสองคู่มองสบกัน หลินเซินก้มหน้าลงขณะเดินเข้าไป
เธอมักจะเจอกู้ชิงไหวในสถานการณ์แบบนี้อยู่เสมอ ตอนนี้เวลาเห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ข้างกายเขา เธอกลับไม่รู้สึกประหลาดใจอีกต่อไปแล้ว
ประตูลิฟต์ปิดลง หญิงสาวแปลกหน้าเปิดปากเอ่ยขึ้นมาก่อน “ซ่งเซียวหาน? บังเอิญจังนะคะ”
ซ่งเซียวหานมีสีหน้าราบเรียบ ตอบรับสั้นๆ อย่างเฉยชา หญิงสาวยิ้มออกมาน้อยๆ “นัดทานอาหารครั้งก่อนที่คุณเทฉัน เรื่องนี้ลือกันไปทั่ววงการแล้วนะ พ่อฉันบอกว่าจะมาคุยกับคุณ แต่ฉันเกลี้ยกล่อมเขาเอาไว้เอง” เธอเขยิบเข้าไปใกล้เขาอีกนิด มุมปากหยักยกขึ้น “คุณไม่รู้สึกว่าตัวเองติดค้างคำขอโทษและขอบคุณกับฉันเหรอคะ”
สายตาหลินเซินไม่ว่อกแว่ก ขณะที่เธอค่อยๆ เขยิบไปด้านข้างอย่างเงียบๆ หลายก้าว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเย็นชาของซ่งเซียวหานดังขึ้น “ขอโทษ! ขอบคุณมาก!”
ที่ด้านหลังของซ่งเซียวหานและผู้หญิงคนนั้นมีเสียงหลุดขำดังออกมา กู้ชิงไหวยืนกอดอกมีสีหน้าราวกับกำลังชมละคร เมื่อเห็นหญิงสาวหันกลับมาถลึงตาใส่ เขาก็บุ้ยปากเชิงบอกให้เธอทำต่อไป หญิงสาวจึงเคลื่อนสายตามาที่หลินเซินแทน
“นี่คือสาเหตุที่คุณเทฉันเหรอคะ ได้ยินมาว่าชั้นหกเป็นร้านอาหารส่วนตัวของคุณ ไม่เคยพาคนนอกเข้าไปมาก่อน แล้วนี่อะไรกัน เธอไม่ใช่คนนอกหรอกเหรอ” เธอเดินเข้ามาใกล้หลินเซินแล้วใช้เล็บจิ้มบ่าจิตรกรสาว “หรือว่าเธอจะเป็นคนรักลับๆ ของคุณ?”
ชั่วพริบตาที่ปลายนิ้วแตะโดนบ่า หลินเซินก็มีอาการโซเซถอยไปข้างหลัง ซ่งเซียวหานยื่นมือออกไปกันตัวหลินเซินเอาไว้พร้อมเอ่ยเสียงเย็น “คุณเผย!”
หญิงสาวถูกการกระทำเช่นนั้นของทั้งคู่กระตุ้นให้รู้สึกโมโหขึ้นทันที ท่าทางเหมือนจะกระโจนเข้าไปทะเลาะด้วย “ซ่งเซียวหาน! คุณอย่าได้รังแกกันเกินไป! คุณอย่าหลงคิดว่า…” ยังไม่ทันพูดจบเธอก็ถูกกู้ชิงไหวดึงตัวกลับมาจึงหันไปถลึงตาใส่เขา “ทำอะไรน่ะ!”
กู้ชิงไหวฉีกยิ้ม “ลิฟต์มาถึงแล้ว”
เธอขยี้เท้า ก่อนชี้นิ้วไปที่หลินเซินกับซ่งเซียวหาน “พวกเขากลับ…”
กู้ชิงไหวไม่พูดไม่จาก็ลากตัวเธอออกไปข้างนอกทันที “พอได้แล้ว ถ้ายังโมโหต่อเครื่องสำอางจะหลุดหมดนะ งานเต้นรำกำลังจะเริ่มแล้วนะครับ”
หญิงสาวโมโหจัดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอได้แต่มองดูประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ เลื่อนปิด สุดท้ายจึงเอาโทสะไประบายใส่กู้ชิงไหวแทน “เชื่อไหมว่าฉันจะให้คะแนนคุณแย่ๆ!”
กู้ชิงไหวหันกลับไปมองประตูลิฟต์ที่ปิดลงอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ปล่อยตัวเธอออก ก่อนยกมือขึ้นน้อยๆ อย่างยอมแพ้ ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “แบบนั้นน่าเบื่อจะตายไป เดี๋ยวครั้งนี้ผมจะลดให้คุณสิบห้าเปอร์เซ็นต์เลย”
มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้และยิ่งเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาขนาดนี้ด้วย หญิงสาวจึงได้แต่ถลึงตาใส่เขา ก่อนสะบัดมือแล้วเดินหนีไป
บรรยากาศภายในลิฟต์เงียบลง ซ่งเซียวหานขมวดคิ้วขณะเอ่ยถามหลินเซิน “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
หลินเซินมองตามเงาร่างที่ค่อยๆ หายลับไปโดยไม่ละสายตาจนประตูลิฟต์ปิดลง ในสมองปรากฏภาพของอาจิ้งกับคู่แม่ลูกใต้ต้นแม็กโนเลีย ผ่านไปนานถึงได้ส่ายหน้าแล้วตอบกลับไป “ไม่เป็นไรค่ะ”
ซ่งเซียวหานพาหญิงสาวกลับไปส่งที่บ้าน หลังนัดหมายเวลาที่จะมารับรูปภาพแล้วถึงได้กลับไป หลินเซินพลิกสัญญาอ่านอีกครั้ง เธอยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ