หน้าจอโทรศัพท์มือถือค่อยๆ มืดดับลงไปท่ามกลางแสงอาทิตย์ ภายในห้องประชุมเงียบสนิท พนักงานอายุน้อยที่ยืนรายงานอยู่ตรงหน้าจอโปรเจ็กเตอร์มีท่าทีทำอะไรไม่ถูกขณะมองดูประธานกู้ที่จู่ๆ ก็ก้มหน้าเล่นมือถือขึ้นมากะทันหัน
เขาถือโทรศัพท์มือถือแล้วหมุนตัวไปรอบหนึ่ง มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มแปลกๆ “งานสถาปนามหาวิทยาลัยไหวอัน” เมื่อพูดจบถึงได้เงยหน้าขึ้นมองพนักงานที่อยู่รอบๆ ซึ่งกำลังมองมายังตนเอง รอยยิ้มมุมปากยิ่งขยับกว้างขึ้นกว่าเดิม “เมื่อครู่อธิบายถึงตรงไหนแล้ว ต่อได้เลย”
พนักงานอายุน้อยประหนึ่งได้รับการอภัยโทษ รีบชี้ไปที่พาวเวอร์พอยตแล้วรายงานต่อ “ท่านประธานกู้ เมื่อครู่ผมอธิบายถึงส่วนแบ่งการตลาดที่สินค้าชุดนี้ครอบครอง…”
เมื่อมาถึงวันสถาปนามหาวิทยาลัย ทันทีที่หลินเซินตื่นขึ้นมาก็พบว่าอาการหวัดที่เกิดจากการตากแอร์เมื่อสองวันก่อนของตนเองเป็นหนักขึ้น เธอรู้สึกเจ็บคออย่างมาก หลังจากต้มน้ำขิงดื่มกับกินมื้อเช้าเล็กน้อยเรียบร้อยจิตรกรสาวก็รีบออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย ไปถึงก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว
บริเวณหน้าประตูมหาวิทยาลัยมีแผ่นป้ายแขวนอยู่จำนวนมาก บนถนนของมหาวิทยาลัยก็เต็มไปด้วยศีรษะของผู้คนขยับเคลื่อนไหวไปมา บรรยากาศคึกคักเสียยิ่งกว่าช่วงรายงานตัวนักศึกษาใหม่ประจำปี เมื่อกลับมาเหยียบบนถนนหลักเห็นต้นแปะก๊วยที่ในอดีตเธอเคยเดินผ่านไปมานับครั้งไม่ถ้วนอีกครั้ง หลินเซินก็กลับรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยขึ้นมาหลายส่วน
ตอนที่เธอเพิ่งเข้าเรียน อาการของหลินเซินร้ายแรงกว่าทุกวันนี้มาก ช่วงเวลานั้นเรียกได้ว่าเธอต้องนับเวลาที่ผ่านไปทุกๆ วินาที ทุกวันคืนคอยแต่คาดหวังให้สามารถเรียนจบจากที่นี่ได้ในเร็ววัน เพื่อที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามลำพังอันเงียบสงบตามเดิม แต่ตอนนี้พอเรียนจบมาจริงๆ แล้ว บางทีเมื่อย้อนนึกไปถึงสมัยเรียนกลับยังมีความเสียดายที่เธอไม่เคยได้เข้าร่วมชมรม ไม่เคยสัมผัสการนอนหอพัก พอขาดสิ่งพวกนี้ไปก็ให้ความรู้สึกเหมือนยังไม่จบจากมหาวิทยาลัยอย่างสมบูรณ์
ตึกของคณะศิลปกรรมศาสตร์ผ่านการซ่อมบำรุงมาแล้วหลังเธอเรียนจบ บริเวณรอบนอกตกแต่งด้วยอิฐสีแดง ตรงทางเข้าที่เคยคับแคบก็เปลี่ยนเป็นประตูกระจกบานใหญ่สี่บาน ทำให้แสงแดดสาดส่องเข้าไปยังห้องโถงอันกว้างขวางที่ไว้สำหรับจัดวางผลงาน
หลินเซินมองเห็นผลงานของตัวเองทันทีที่เดินเข้าไป มันถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุด บนแผ่นป้ายแนะนำผลงานตรงด้านข้างแปะรูปตอนเรียนจบของเธอเอาไว้และมีตัวอักษรเล็กๆ ด้านล่างอยู่ไม่กี่แถวเขียนแนะนำข้อมูลส่วนบุคคล
ด้านหน้าผลงานมีคนคนหนึ่งกำลังยืนดูอยู่ เขาสวมชุดลำลองสบายๆ ทำให้แผ่นหลังดูสูงโปร่ง ในตอนที่หลินเซินเดินผ่านเขา ชายหนุ่มก็กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปวาดของเธอ
เขาชอบภาพวาดของเธองั้นเหรอ
ด้วยความประหลาดใจเธอจึงหันหน้าไปมองคนคนนั้น และเมื่อได้สบตาเข้ากับสายตายิ้มๆ คู่นั้นหลินเซินก็อึ้งไปทันควัน เป็นเขาอีกแล้ว…กู้ชิงไหว
กู้ชิงไหวเองก็หันหน้ามามองเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “ที่แท้คุณก็ชื่อหลินเซิน” สายตาวกกลับไปที่รูปภาพพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ภาพของคุณมีเอกลักษณ์มาก”
หลินเซินหลบสายตาและตีสีหน้าไร้ความรู้สึกก่อนกลับตัวเดินจากไปทันที ที่ด้านหลังมีเสียงถอนหายใจด้วยความจนใจของชายหนุ่มดังมา “ผู้หญิงสมัยนี้ เจ้าอารมณ์กันจริงๆ”
หลินเซินทำเหมือนไม่ได้ยิน ในตอนที่กำลังเร่งฝีเท้าเดินไปถึงบันไดตึกก็ได้เจอเข้ากับอาจารย์สวีซึ่งเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอพอดี
“โอ๊ะ! หลินเซิน ไม่ได้เจอกันหลายปี สวยขึ้นเรื่อยๆ เลยนะเรา”
อาจารย์ทักทายด้วยท่าทีกระตือรือร้นอยากจะจับมือของเธอ หลินเซินเบี่ยงตัวหลบ ซ่อนมือไปด้านหลังพลางพยักหน้ายิ้มๆ ให้กับอาจารย์ “อาจารย์สวี ไม่ได้พบกันนานนะคะ”
อาจารย์สวีเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ยังใช้รอยยิ้มปิดบังความรู้สึกเอาไว้ “อาจารย์ยังกังวลว่าเธอจะไม่มา แต่มาก็ดีแล้ว ตามอาจารย์ขึ้นไปเถอะ”
หลินเซินพยักหน้า ในตอนที่ก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรกไป จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้หันกลับไปมองข้างหลัง ด้านหน้ากรอบรูปที่เธอเดินจากมานั้นมีนักศึกษาอายุน้อยสองสามคนยืนอยู่ ส่วนกู้ชิงไหวไม่รู้ว่าเขาเดินหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว