อาจารย์สวีไม่ได้หลอกเธอ สคริปต์สำหรับบรรยายนั้นสั้นมาก ใช้เวลาเพียงแค่สองสามนาทีก็อ่านจบ แต่สำหรับเธอแล้วกลับเหมือนผ่านไปนานเป็นชาติ หลินเซินแบฝ่ามือออกดู เหงื่อเย็นๆ แทบจะทำให้กระดาษสคริปต์เปียกชุ่ม ทีแรกอาการหวัดทำให้เธอรู้สึกมึนหัวอยู่บ้าง แต่พอเหงื่อออกเยอะแบบนี้กลับทำให้สติแจ่มใสขึ้นมาแล้ว
“ขอบคุณหลินเซิน แล้วก็ขอบคุณนักศึกษาของพวกเราที่มาเข้าร่วมงานบรรยายของคณะศิลปกรรมศาสตร์ด้วย…” พิธีกรเดินขึ้นเวทีมารับไมค์ไป ตอนนี้เองหลินเซินรู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ จิตรกรสาวเดินลงจากแท่นบรรยายไปนั่งอยู่ตรงที่นั่งของเธอซึ่งถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว
ต่อจากนั้นพิธีกรพูดว่าอะไรบ้างหลินเซินก็ฟังไม่เข้าหูแม้แต่คำเดียว เธอย้อนนึกถึงช่วงสองสามนาทีที่อยู่บนเวทีนั้นซ้ำๆ ในช่วงตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้เธอต้องเข้ารับการบำบัดจิตรวมถึงกินยาไม่เคยหยุด ทว่าก็ไม่อาจจะใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้เสียที และเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เธอก็เพิ่งเจรจาธุรกิจสำเร็จด้วยตัวเอง ได้เซ็นสัญญากับโรงแรมเหลียนถัง ทั้งยังสามารถพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นได้แล้ว แต่สถานการณ์เช่นในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกระจกวิเศษที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาให้เห็นได้ในทันที
บางทีตลอดชีวิตนี้หลินเซินคงไม่อาจกลายไปเป็นคนธรรมดาได้ เธออาจถูกกำหนดมาให้ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดตามลำพังไปกับเสียงที่ ‘พิเศษไม่เหมือนใคร’ นี้
“…คุณหลิน คุณหลินเซิน…”
หลินเซินเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง พบสายตาจากรอบทิศที่ไม่รู้ว่ามองเธออยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ พิธีกรกำลังมองหน้าเธอด้วยสีหน้าคาดหวัง สติของหลินเซินค่อยๆ กลับมาทีละนิด ข้างหูมีเสียงอึกทึกของผู้คนดังขึ้นอีกครั้ง แล้วเธอก็ได้ยินพิธีกรถามว่า “สไตล์การวาดภาพอย่างเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นแบบนี้ของคุณเกิดขึ้นได้ยังไงกัน ทำไมถึงได้เลือกวิธีการสร้างสรรค์ผลงานแบบนี้คะ”
อาจารย์สวีส่งไมค์มาให้เธอ
ไมค์หนักอึ้ง เนื้อโลหะให้ความรู้สึกเย็นเยียบเมื่อกำอยู่ในมือ ริมฝีปากของหลินเซินเหมือนถูกติดกาวเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็เปล่งเสียงออกมาไม่ได้ ผู้คนรอคำตอบกันจนเริ่มหมดความอดทน อาจารย์สวีดึงไมค์กลับมาแล้วพูดขึ้นอย่างไร้ทางเลือก “ฉันคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในชีวิตของนักศึกษาหลินเซินนะ”
สองมือของหลินเซินที่วางอยู่บนตักกำเข้าหากันแน่น เธอไม่รู้แม้กระทั่งจะเอาสายตาอึดอัดใจไปวางไว้ที่ไหน และในตอนที่กวาดตามองไปทางประตูหลังของหอประชุม เธอก็เห็นกู้ชิงไหวกำลังเดินย่องเข้ามา สายตาของทั้งคู่มองสบกัน เขาเลิกคิ้วแล้วส่งยิ้มให้เธอ
พิธีกรรับไมค์ของอาจารย์สวีมา “พ่อแม่ของคุณหลินเซินจากไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เธอยังเด็กๆ ส่งผลให้มีอาการกลัวสังคมมานับตั้งแต่นั้น แต่เธอไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับอาการป่วยนั้น กลับกันยังสามารถเดินออกมาจากเงามืด จนมาประสบความสำเร็จได้อย่างในทุกวันนี้…”
หลินเซินตวัดสายตาขึ้นทันควัน เธอมองไปยังพิธีกรที่กำลังพูดจาฉะฉานอยู่บนแท่นบรรยายอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หล่อนทำแบบนี้ได้ยังไง! มาฉีกบาดแผลของเธอออกง่ายๆ ในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไง!!
พิธีกรคล้ายจะสัมผัสไม่ได้ถึงความโมโหของหลินเซิน ยังคงส่งสายตามองมาที่จิตรกรสาวอย่างห่วงใย “คณะศิลปกรรมศาสตร์สำหรับนักศึกษาหลินเซินแล้วจะต้องไม่ได้เป็นแค่คณะเรียนคณะหนึ่งอย่างแน่นอนใช่ไหมคะ”
เธอกัดริมฝีปากแน่น ในวินาทีนี้หลินเซินนึกเกลียดความอ่อนแอของตัวเองขึ้นมากะทันหัน