ตอนที่เดินถือถุงอุปกรณ์น้อยใหญ่ออกมาจากห้างสรรพสินค้า นาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ที่นำมาใช้ตกแต่งด้านหน้าประตูห้างสรรพสินค้าก็บอกเวลาสิบเอ็ดโมงตรงแล้ว ซ่งเซียวหานบอกให้เธอรออยู่ที่นี่ มันหมายถึงให้เธอรอเขาอยู่ตรงหน้าประตูใช่ไหม
ในเวลานี้เริ่มมีลูกค้าของห้างสรรพสินค้าทยอยกันมาเยอะแล้ว หลินเซินวางถุงอุปกรณ์ลงข้างเท้าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ซ่งเซียวหานโทรมา เธอสงสัยว่าตัวเองควรจะโทรกลับไปถามหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เด็กสาวอายุน้อยสองคนเดินคล้องแขนกันผ่านตัวเธอไป หลังเดินผ่านไปไม่กี่ก้าวทั้งคู่ก็วกกลับมาใหม่อีกครั้ง มองโทรศัพท์มือถือแล้วกระซิบกระซาบกัน “ใช่คนนั้นไหม…”
“เหมือนจะใช่นะๆ!”
สีหน้าตกใจกับสายตามองประเมินปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเธออย่างเห็นได้ชัด หลินเซินหันหลังให้โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นานหลินเซินก็ตัดสินใจโทรกลับไปหาซ่งเซียวหาน อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว เธอสูดลมหายใจเข้าลึก “ประธานซ่ง ถ้าเกิดไม่มีเรื่องอะไรฉันจะกลับ…”
ยังไม่ทันที่หลินเซินจะพูดจบก็ถูกคนชนเข้าให้ เธอจับโทรศัพท์มือถือไว้ไม่แน่นพอทำให้หล่นกระเด็นไปไกลหลายเมตร หลินเซินโซเซขณะหันตัวกลับไปจึงชนเข้ากับคนที่ถือกล้องถ่ายรูปเข้าให้เต็มๆ
เสียงแชะดังขึ้นสองครั้ง แสงแฟลชสีขาววาบผ่าน สีหน้าตกตะลึงของหลินเซินถูกกล้องถ่ายเอาไว้แล้ว นักข่าวสาวข้างๆ ถือไมค์ยื่นมาตรงหน้าเธอ “สวัสดีค่ะคุณหลิน พวกเราเป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวเช้า ไม่ทราบว่าคุณมีความคิดเห็นยังไงกับข่าวที่หลุดออกมาเมื่อเช้านี้คะ”
ประสาทสัมผัสของเธอดับวูบไปครู่หนึ่ง โซเซไปมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเข้ามาประคองเธอไว้ แต่คนที่มารวมตัวอยู่รอบๆ กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นข้างหูไม่หยุด อีกทั้งยังมีกล้องวิดีโอจำนวนมากเข้ามาประชิดอยู่ตรงหน้าเธอ แทบจะกลืนเธอลงไป
หลินเซินยกมือขึ้นบังหน้าโดยอัตโนมัติ สายตาของเธอไม่สามารถโฟกัสภาพได้แล้ว ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนราวกับถาดสีที่ถูกน้ำผสม กระจายออกไปวงแล้ววงเล่า จนกระทั่งเสียงรอบข้างก็เลือนหายไปเช่นกัน เหลือทิ้งไว้แค่เสียงวิ้งแหลมสูงดังอื้ออึง
มีคนจับข้อมือของฉันเอาไว้ ฉันควรจะกรีดร้องใช่ไหม ไม่รู้…ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
หลินเซินทำได้เพียงแค่ดิ้นรนขัดขืนตามจิตใต้สำนึก ทว่าสองมือที่จับเธอไว้กลับออกแรงมากขึ้น จากนั้นกระชากตัวเธออย่างแรง พาเธอเข้าไปในอ้อมกอด
หลินเซินเริ่มดิ้นสุดชีวิต แต่แรงของอีกฝ่ายเยอะมากจริงๆ เขากักตัวเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา ทว่านิ้วมือกลับลูบผ่านแผ่นหลังของเธอช้าๆ อย่างปลอบประโลม ข้างหูของเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน และน้ำเสียงที่คุ้นเคยกำลังเรียกชื่อของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่เป็นไรแล้วหลินเซิน ไม่ต้องกลัว…”
น้ำเสียงนั้นคล้ายมีเวทมนตร์ เธอไม่ดิ้นรนแล้วจริงๆ แค่เงยหน้าขึ้นช้าๆ พร้อมถามเขาว่า ”คุณคือ?”
เสียงนั้นหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แฝงการปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “ผมกู้ชิงไหว ยังจำได้ไหม ตอนนี้ผมจะพาคุณไปขึ้นรถจากนั้นก็จะพาออกไปจากที่นี่ ไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย โอเคไหม”
บนตัวเขามีกลิ่นอายที่ทำให้คนสบายใจ เธอก้มหน้าลงไปอีกครั้งพร้อมตอบรับเสียงเบา “ค่ะ”
ทันทีที่พูดจบ ร่างกายของเธอก็เบาขึ้น เป็นเขานั่นเองที่อุ้มตัวเธอขึ้นมา กู้ชิงไหวก้าวยาวๆ อุ้มเธอไปยังรถที่จอดอยู่ข้างถนน นักข่าวที่อยู่ด้านหลังยังคิดอยากไล่ตามมา ทำให้เขาชะงักฝีเท้าก่อนหันกลับไป “ถ้าไม่อยากถูกผมฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายโดยเจตนา ทุกท่านอย่าได้ไล่ตามมาจะดีกว่า”
ในตอนที่พูดประโยคนี้ บนใบหน้าของกู้ชิงไหวยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม
ทีแรกนักข่าวกลุ่มนั้นยังลังเลอยู่บ้าง ทว่าก็ถูกรอยยิ้มนั้นของกู้ชิงไหวทำให้กลัวจนต้องหยุดอยู่แค่นั้นและได้แต่มองดูเขาพาหลินเซินขึ้นรถจากไป
กู้ชิงไหววางตัวหลินเซินไว้บนที่นั่งข้างคนขับจากนั้นก็ล็อกประตูรถให้เรียบร้อย ก่อนโน้มตัวไปช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วบิดฝาเปิดขวดน้ำแร่ส่งไปให้ตรงหน้าเธอ “ดื่มน้ำหน่อยครับ”
หลินเซินยื่นมือไปรับ แล้วก้มหน้าลงไม่พูดอะไร