เขาสตาร์ตเครื่องก่อนจะขับรถออกจากห้างสรรพสินค้า ขับไปถึงถนนซุ้มต้นไม้แถวๆ สวนสาธารณะแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรออก ไม่รู้ว่ากำลังสั่งงานใคร
“จัดการกลุ่มสื่อที่หน้าประตูห้างให้เรียบร้อยด้วย”
กู้ชิงไหวที่วางสายแล้วหันหน้ากลับไปมองหลินเซิน หญิงสาวปิดตาสนิท สีหน้าซีดขาวจนน่ากลัว บนหน้าผากเนียนใสมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา กำลังไหลลงมาตามกรอบหน้าทีละหยดๆ
กู้ชิงไหวขมวดคิ้ว มือหนึ่งหมุนพวงมาลัยกลับรถ อีกมือวางทาบบนหน้าผากของหลินเซิน
อุณหภูมิร่างกายเย็นเฉียบ
เขาขับรถเร็วขึ้นอีกพร้อมเอ่ยถามเธอว่า “หลินเซิน คุณยังไหวไหม”
คำตอบที่เขาได้รับคือเสียงหอบหายใจอย่างหนัก
กู้ชิงไหวเปิดหน้าต่างรถให้มีลมพัดเข้ามาแล้วกุมมือเย็นเยียบที่ตกอยู่ข้างตัวเธอไว้ “ทนต่ออีกหน่อย ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว”
นิ้วมือของหลินเซินจิกเกร็ง เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือของเขา เสียงที่สั่นไหวเค้นรอดออกมาจากไรฟัน “ฉันไม่ไปโรงพยาบาล”
กู้ชิงไหวหันหน้าไปมองเธอ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม “งั้นคุณอยากจะไปที่ไหน”
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงหลินเซินตอบกลับมาอย่างหมดแรง “ที่ที่ไม่มีคน”
กู้ชิงไหวตบหลังมือของเธอเบาๆ แล้วหักเลี้ยวรถ รถยนต์ขับออกจากเขตตัวเมือง ขึ้นไปบนถนนผานซาน ค่อยๆ ออกห่างจากตัวเมืองอันวุ่นวายไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงหน้าเริ่มมีผืนป่าดกหนาปรากฏขึ้นมา ท้องฟ้าสว่างไสว อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์กว่าเดิม ทว่าอุณหภูมิกลับลดลงมา ลมทะลักเข้ามาผ่านทางหน้าต่างรถ แฝงไปด้วยกลิ่นต้นไม้สะอาดบริสุทธิ์
หลังขึ้นมาบนภูเขาแล้วความเร็วรถก็ลดลง หลินเซินมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเหมือนจะใจเย็นลงได้แล้ว
รถยนต์ขับมาถึงหน้าประตูสำริดแกะสลัก ที่แผ่นป้ายไม้มีเถาวัลย์พันอยู่สลักคำว่า ‘คฤหาสน์ฝูหลัน’ เอาไว้ หลินเซินเคยได้ยินเมิ่งสืออวี่พูดถึงสถานที่นี้ มันเป็นคฤหาสน์ส่วนตัว สถาปัตยกรรมภายในนั้นงดงามและสวยสง่าอย่างมาก หลังจากมีชื่อเสียงเลื่องลือออกไป ไม่ว่าใครก็อยากมาชมความงามกันสักครั้ง ซึ่งเจ้าของคฤหาสน์เองก็นับได้ว่าใจกว้าง รับปากว่าจะเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้ารับชมสัปดาห์ละครั้ง
วันนี้เป็นวันศุกร์ หลังรถขับเข้าไปในเขตกล้องวงจรปิดแล้ว ประตูใหญ่ก็เปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง ภาพที่เห็นคือถนนต้นแปะก๊วยสายหนึ่ง ต้นแปะก๊วยในฤดูกาลนี้มีใบสีเขียวดกหนา แต่ละใบล้วนเต็มไปด้วยพลังชีวิตของฤดูร้อน กู้ชิงไหวขับรถตรงเข้าไปข้างในแล้วจอดรถลงข้างศาลาริมสระน้ำ
หลินเซินไม่ได้ลงจากรถ เธอนั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับไม่ไหวติง แล้วหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่มีใครพูดอะไร รอบด้านเงียบสงัด มีเสียงลมพัดมาเป็นครั้งคราว ในตอนที่ลมโชยผ่านผิวน้ำก็จะมีเสียงแซ่กซ่าดังขึ้นเบาๆ
นิ้วของกู้ชิงไหววางอยู่ตรงหน้ารถ นิ้วชี้เคาะตัวรถเบาๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินเซินจึงเอ่ยออกมาเสียงเบา “ขอบคุณค่ะ!”
เสียงนั้นลอยเข้ามาในหู กู้ชิงไหวอึ้งไปเล็กน้อย “อะไรนะครับ”
น้ำเสียงนั้นดังกระจ่างชัดและจริงใจ “ขอบคุณที่เมื่อกี้คุณช่วยฉันเอาไว้!”
จู่ๆ กู้ชิงไหวก็ใจลอยไป ความคิดย้อนกลับไปถึงครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน น่าจะเป็นที่โรงแรมเหลียนถังสินะ ท่ามกลางกลุ่มคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่เฉยๆ การก้าวออกมาของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้ใครต่างก็คาดไม่ถึง เขาจดจำหญิงสาวรูปร่างผอมบางทว่ากล้าหาญโดดเด่นคนนี้ได้ ดังนั้นในครั้งที่สองที่ได้พบกันอีกข้างแม่น้ำเถาฉวน เขาจึงจำเธอได้ในทันที
แต่ดูเหมือนเธอจะระมัดระวังตัวกับเขามากๆ ตอนหลังในทุกๆ ครั้งที่พบกันก็ล้วนสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูของเธออย่างชัดเจน เขาไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้หญิงสาวคนนี้โกรธ เวลามองดูแววตาระแวดระวังห่างเหินของเธอแล้วเขาทั้งรู้สึกจนใจและขบขัน
ทุกครั้งที่ได้พบกันก็เหมือนว่าจะไม่เคยพูดคุยกับเธอดีๆ สักครั้ง มีแค่ในวันงานสถาปนามหาวิทยาลัยไหวต้านั่นแหละ แต่ตอนนั้นเธอเป็นหวัดลงคอทำให้เขาได้ยินเสียงไม่ชัดนัก
ทว่าในวันนี้…เมื่อได้ยินน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลนั้นอย่างชัดเจน ก็ราวกับว่ามันได้พาเขากลับไปในช่วงยามบ่ายที่โบสถ์แห่งนั้น แสงแดดทอดยาวสาดส่องเข้ามาภายในโบสถ์ ท่ามกลางแสงสลัวๆ นั้นมีเสียงท่องบทสวดพันธสัญญาเดิมดังขึ้น
ทั้งสองเสียงนี้มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก…จะใช่เธอหรือเปล่า เสียงที่เขาได้ยินโดยบังเอิญ และสามารถทำให้นอนหลับได้เสียงนั้น…จะใช่เสียงของหลินเซินหรือเปล่า แต่ว่ามันจะมีเรื่องราวบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไงกัน เขาขมวดคิ้วมองเธอนิ่ง