หลินเซินถูกเขามองจนรู้สึกอึดอัดจึงขยับตัวไปด้านข้างน้อยๆ ปลายหางตาของเขาสั่นไหว กู้ชิงไหวเปิดประตูแล้วลงจากรถ “ลงมาเดินเล่นเถอะครับ อุตส่าห์ได้มาตอนที่ไม่มีคน”
ท้องฟ้าใสกระจ่าง สายลมโชยมาพร้อมกลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ พื้นถนนใต้ฝ่าเท้าปูด้วยหินกระเบื้อง บนกระเบื้องมีลายสลักเล็กๆ บางแผ่นเป็นลายต้นเหมย กล้วยไม้ และไผ่ บางแผ่นเป็นลายดอกเบญจมาศ หรือต้นสนบนภูเขา หลินเซินเคยเห็นถนนแกะสลักมือขนาดใหญ่แบบนี้แค่ในพระราชวังต้องห้ามเท่านั้น
แต่เธอก็ไม่ได้อยากรู้ว่ากู้ชิงไหวมีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้หรือไม่ อันที่จริงที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว ทั้งคู่เดินผ่านระเบียงทางเดินวกวน ก่อนที่หลินเซินจะเรียกกู้ชิงไหวที่ยังเดินไปข้างหน้าเอาไว้ “ฉันอยากกลับบ้านแล้วค่ะ วันนี้รู้สึกเหนื่อยๆ นิดหน่อย”
“กลับบ้าน?” เขาหันกลับมา เปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นใส่มือเธอ “ยังไม่รู้ว่าทำไมวันนี้นักข่าวถึงไปรุมคุณใช่ไหมครับ”
หลินเซินมองไปที่หัวข้อข่าวเด่นบนเว็บไซต์
ภาพที่เห็นคือรูปถ่ายใบหนึ่ง พื้นหลังเป็นปากตรอกเหล่าไหว หลินเซินกับซ่งเซียวหานยืนอยู่ข้างรถ เธอยื่นมือไปรับถุงชาแนลที่เขาส่งมาให้ ด้านหลังเป็นพาดหัวข่าว
‘แวน โก๊ะห์ยุคปัจจุบัน หรือเกมเลื่อนขั้น?’
ข้อความหลายร้อยตัวอักษรเขียนบรรยายถึงเรื่องรูปภาพอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งไม่ถูกคนนอกชื่นชมของเธอที่ไปต้องตาซ่งเซียวหานเข้า และการที่เธอก้าวกระโดดกลายมาเป็นนักวาดที่มีชื่อเสียงของเมืองไหวอัน รวมถึงอดีตที่เธอเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ชื่อของนักข่าวคือมู่ชูหนาน
หลินเซินกัดริมฝีปากแล้วกดเปิดดูคอมเมนต์ซึ่งมีจำนวนหลายแสนข้อความด้วยกัน ก่อนจะเห็นคอมเมนต์ยอดนิยมอันหนึ่งเขียนไว้ว่า
‘การทำทานของคนรวย’
อ่านไปได้แค่นั้นโทรศัพท์มือถือก็ถูกกู้ชิงไหวคว้ากลับไปแล้ว
หลินเซินนิ่งค้างด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ คิ้วขมวดแน่นเป็นปม ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ว่าเธอกำลังถามใครอยู่ “ทำไมเธอถึงได้เขียนข่าวมั่วซั่วแบบนี้”
กู้ชิงไหวก้มหน้ามองหลินเซิน
เธอน่าจะกำลังโกรธมากจริงๆ ขอบตาของเธอแดงระเรื่อ แม้กระทั่งริมฝีปากก็ยังสั่นน้อยๆ แต่น้ำเสียงของหลินเซินกลับยังคงแผ่วเบานุ่มนวล เหมือนคนที่ไม่รู้จักแสดงความโกรธออกมาตั้งแต่เกิด แม้แต่เวลาโมโหก็ยังดูอ่อนโยน
หลินเซินอยากจะไปจากที่นี่ แต่ขยับเท้าได้นิดเดียวก็กลับมายืนนิ่งอีกครั้ง เธอมองไปที่ชายหนุ่มอย่างทำอะไรไม่ถูก “งั้นตอนนี้ฉันควรจะทำยังไงดีคะ”
กู้ชิงไหวคิดๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ซ่งเซียวหานโทรหาคุณแล้วหรือยังครับ”
หลินเซินนึกถึงสายโทรศัพท์แปลกๆ เมื่อเช้าขึ้นมาได้ ดูเหมือนในตอนนั้นซ่งเซียวหานก็คงจะเห็นข่าวนี้เลยคิดจะมารับเธอเพื่อพาไปเก็บตัวถึงได้บอกให้ไปยืนรอเขา ทว่ากลับเจอนักข่าวมาถึงก่อนแทน
หลินเซินพยักหน้า กู้ชิงไหวจึงเปิดรายชื่อผู้ติดต่อขึ้นมา “ซ่งซื่อไม่มีทางอยู่เฉย ซ่งเซียวหานน่าจะติดต่อให้สื่อลบข่าวแล้ว แต่ว่าความนิยมของข่าวนี้เพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ถึงลบไปก็ช่วยอะไรไม่ได้” ชายหนุ่มส่งเสียงจิ๊ปากด้วยความขัดใจ “ฝีมือด้านประชาสัมพันธ์ของซ่งซื่อนั้นเทียบกับฝีมือด้านธุรกิจของพวกเขาไม่เคยได้”
โทรศัพท์ต่อสายติด กู้ชิงไหวเอ่ยถามปลายสาย “เรื่องที่ฉันให้จัดการเมื่อกี้เป็นยังไงบ้าง”
“จัดการหมดเรียบร้อยแล้วครับ”
“ติดต่อกับทีมประชาสัมพันธ์ของซ่งซื่อหน่อย พวกเขาน่าจะยินดีให้นายพาคนไปช่วยจัดการ”
“ได้ครับท่านประธานกู้”
หลินเซินมองเขาตาไม่กะพริบ แต่กู้ชิงไหวเหมือนจะไม่ทันสังเกต เขากดอีกเบอร์หนึ่งแล้วโทรออกไป “สวัสดีครับคุณลุงโจว ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ พอดีว่าผมมีเรื่องอยากจะขอให้คุณลุงช่วยหน่อย…”
หลังวางสายแล้วชายหนุ่มก็หันกลับมาจึงได้เห็นหลินเซินที่กำลังเม้มปากเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาคาดหวัง ตรงขนตาของเธอมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ เวลานี้หญิงสาวดูเหมือนกวางน้อยในป่า ทั้งดูว่าง่ายและไร้กำลัง ไม่หลงเหลือท่าทีเย็นชาเหมือนสองสามครั้งก่อนหน้านี้ที่ได้พบกันอยู่เลย
กู้ชิงไหวถอนสายตาที่จ้องมองเธออยู่ออก “สื่อน่าจะรู้ที่อยู่คุณแล้ว บางทีอาจจะมีนักข่าวไปเฝ้าที่นั่น ยังไงช่วงสองสามวันนี้อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยจะดีกว่าครับ”
หลินเซินอึ้งไป ในดวงตาฉายแววระแวดระวังตัวออกมา