กู้ชิงไหวเม้มปากแล้วเดินเข้าไปใกล้เธออีกสองก้าว ด้านหลินเซินก็ก้าวถอยหลังติดๆ กันจนแผ่นหลังไปชนเข้ากับเสาทางเดิน หญิงสาวเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เขากลั้นยิ้มขณะมองเธอ ชายหนุ่มเพิ่งจะยกมือขึ้น หลินเซินก็งอตัวทันที แขนของกู้ชิงไหวชะงักค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะเอื้อมไปหยิบใบไม้ใบหนึ่งที่ติดอยู่บนศีรษะของเธอออกให้ “ไปพักอยู่ที่บ้านเพื่อนสักระยะเถอะ ผมจะพาคุณไปส่งเอง”
หลินเซินผ่อนลมหายใจออกมา พอคิดถึงท่าทางของตัวเองเมื่อครู่นี้ก็รู้สึกใบหูร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย เธอรีบหันหลังแล้วควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเพื่อโทรหาเมิ่งสืออวี่ทันที แต่ควานหาอยู่นานถึงคิดขึ้นมาได้ว่าเธอถูกนักข่าวชนจนโทรศัพท์มือถือหล่นพื้นไปตั้งแต่อยู่หน้าห้างสรรพสินค้าและเธอก็ไม่มีเวลาไปตามเก็บมัน
หลินเซินรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่คล้ายว่ากู้ชิงไหวไม่ทันสังเกต เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลา “ไปกินข้าวเที่ยงกันก่อนเถอะครับ”
สถานที่กินข้าวครั้งนี้อยู่ในตึกที่มีรูปทรงแบบสถาปัตยกรรมจีนแห่งหนึ่ง เมนูอาหารเป็นเมนูของทางเหนือ สีสันสวยงาม รสชาติจัดจ้าน แต่กินได้คล่องคอมาก ทว่าหลินเซินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอกินอาหารกันไปได้สักพัก คนที่ท่าทางเหมือนผู้ช่วยก็เดินถือถุงใบหนึ่งเข้ามา
กู้ชิงไหวบอกให้เขายื่นถุงให้หลินเซิน เธอรับมาเปิดดูเห็นเป็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่ในนั้น นอกจากตรงมุมจอมีรอยแตกอยู่หลายรอยแล้วอย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก หลังเปิดเครื่องแล้วก็พบว่าสายที่ไม่ได้รับนั้นล้วนเป็นสายจากซ่งเซียวหาน
หลินเซินมองไปทางกู้ชิงไหว เห็นเขากำลังหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุป “ของที่คุณซื้อจากห้างสรรพสินค้าก็เอากลับมาด้วยกันหมดแล้ว วางอยู่ในรถ อีกเดี๋ยวจะช่วยเอาไปส่งให้คุณด้วย”
เธอเม้มปากก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”
“ถ้าอยากจะขอบคุณจริงๆ…” เขาเลิกคิ้ว “ตอนเจอกันครั้งหน้าก็เลิกมีท่าทีเหมือนเป็นศัตรูกันได้แล้วครับ”
หลินเซินรู้สึกอับอายจึงเอ่ยด้วยเสียงเบาๆ “นั่นเป็นเพราะว่า…”
พูดไปได้ครึ่งทางก็พูดต่อไม่ออก เรื่องในครอบครัวคนอื่น เธอมีสิทธิ์อะไรไปตำหนิกัน หลินเซินเก็บคำพูดที่เหลือไว้แล้วก้มหน้าลงคีบอาหารแทน
กู้ชิงไหวกลับรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา “เพราะอะไรครับ”
เพราะว่าคุณนอกใจตอนภรรยาตั้งครรภ์ และใช้ชีวิตส่วนตัวได้เฮงซวยไง
แต่ตีให้ตายหลินเซินก็ไม่มีทางพูดออกไปได้ คนอย่างเธอแบ่งแยกบุญคุณกับความแค้นอย่างชัดเจน ช่วยเธอเอาไว้ก็คือช่วยเอาไว้ คำพูดแย่ๆ อย่าง ‘ฉันไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างคุณมาช่วยเหลือ’ ถึงยังไงเธอก็พูดไม่ออก หลินเซินรีบก้มลงกินข้าวเพื่อบังคับให้ยุติบทสนทนานี้ กู้ชิงไหวยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ หลังกินข้าวเสร็จหลินเซินก็โทรหาเมิ่งสืออวี่ แต่โทรไปสามครั้งก็ไม่มีใครรับสาย
ระยะนี้ดูเหมือนเมิ่งสืออวี่จะยุ่งมากทำให้ทั้งคู่ติดต่อกันน้อยลง หลินเซินจึงไม่ได้โทรไปอีกแต่บอกที่อยู่ของเมิ่งสืออวี่กับกู้ชิงไหวไป ตัดสินใจว่าจะไปรอเมิ่งสืออวี่เลิกงานที่บ้านของเธอ
รถยนต์ขับออกจากคฤหาสน์ฝูหลัน เสียงแตรรถดังอึกทึกเข้ามาในหูอีกครั้ง อุณหภูมิก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ในตอนที่กู้ชิงไหวขับรถขึ้นไปบนทางหลวง ซ่งเซียวหานก็โทรมาอีกครั้ง
เขาน่าจะร้อนใจมากหลังติดต่อเธอไม่ได้ตลอดทั้งเช้า หลินเซินรีบกดรับสาย น้ำเสียงจากปลายสายดังทุ้มลึก “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ประธานซ่ง เรื่องในครั้งนี้…”
“ผมจะจัดการให้เรียบร้อย” เขาชะงักไปแล้วลดเสียงลง “ทำให้คุณมาลำบากไปด้วย ขอโทษด้วยจริงๆ!”
หลินเซินเงียบไป อีกฝ่ายจึงพูดต่อ “ช่วงนี้คุณอย่าเพิ่งไปปรากฏตัวที่ไหนนะครับ”
“ค่ะ”
หลังวางสายแล้วกู้ชิงไหวก็มองโทรศัพท์มือถือในมือของเธอครั้งหนึ่ง “ซ่งเซียวหานคนนี้…ไม่ใช่ว่าไม่ชอบใช้โทรศัพท์หรอกเหรอ ดูท่าคำพูดพวกนั้นจะเป็นแค่ข่าวลือ”
ในสมองของหลินเซินมีแต่ภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองถูกนักข่าวรุมล้อมเมื่อเช้านี้ เธอยิ้มเจื่อน เมื่อมาถึงคอนโดฯ หลินเซินก็ลดกระจกรถลงเพื่อตรวจสอบบริเวณรอบๆ ด้วยยังหวาดหวั่นไม่หาย จากนั้นถึงได้ลงจากรถ กู้ชิงไหวหยิบอุปกรณ์ที่หลินเซินซื้อออกมาจากกระโปรงหลังรถพลางถาม “ต้องให้ผมเข้าไปส่งคุณไหมครับ”
เธอส่ายหน้าแล้วรับกล่องมากอดเอาไว้ “วันนี้ขอบคุณคุณมากนะคะ ลาก่อนค่ะ!”
หลินเซินกลับตัวเตรียมจากไป กู้ชิงไหวเรียกเธอเอาไว้ “หลินเซิน” หญิงสาวหันกลับมา เขาส่งยิ้มให้เธอ “มีความสุขหน่อยครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่าทำท่าทางเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาแบบนั้น”
หลินเซินไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้าให้เขา